‘ส.ก.เขตพญาไท’ ลั่น ฝ่ายบริหารตรวจสอบกันเอง ไม่มีประโยชน์ ขอตั้งคณะกรรมการ ‘สแกนความคุ้มค่า’ โครงการงบปี 66
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มกราคม ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง มีประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 1) ประจำปีพุทธศักราช 2566
โดยในตอนหนึ่ง นายพีรพล กนกวลัย ส.ก.เขตพญาไท พรรคก้าวไกล ได้เสนอญัตติด้วยวาจา ให้สภากทม. ตั้งคณะกรรมการสภาวิสามัญเพื่อศึกษาความคุ้มค่าของโครงการต่างๆ ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566
นายพีรพลกล่าวว่า ฝ่ายบริหารโดยรองผู้ว่าฯ กทม. ได้ออกหนังสือทบทวนความคุ้มค่าในโครงการต่างๆ ที่ผ่านการพิจารณาจากหน่วยงาน และสมาชิกสภา กทม.จนเป็นข้อบัญญติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ซึ่งการศึกษาความคุ้มค่าของคำสั่ง น่าจะเลยระยะเวลาของการศึกษาไปแล้ว อย่างการออกระเบียบต่างๆ ที่ต้องศึกษาความคุ้มค่านั้น ควรทำก่อนจะเสนอเข้าที่ประชุมเป็นข้อบัญญัติ ตนจึงขอให้ตั้งคณะกรรมการศึกษาความคุ้มค่าในโครงการต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรองผู้ว่าฯ กทม. ที่ต้องการให้ตรวจสอบความคุ้มค่าของงบประมาณ หากฝ่ายบริหารตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบกันเอง ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“ผมขออาศัยอำนาจตามข้อ 39 ตามข้อบังคับการประชุม (1) (3) ขอเสนอญัตติด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภากรุงเทพมหานครตั้งคณะกรรมการสภาวิสามัญศึกษาความคุ้มค่าของโครงการต่างๆ ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 สืบเนื่องจากฝ่ายบริหาร โดยรองผู้ว่าฯ ได้ออกหนังสือทบทวนความคุ้มค่าในโครงการต่างๆ ที่ได้ผ่านการพิจารณาหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงบประมาณ และผ่านการพิจารณาของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร จนเป็นข้อบัญญติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ซึ่งการศึกษาความคุ้มค่าของคำสั่ง น่าจะเลยระยะเวลาของการศึกษาไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการออกระเบียบต่างๆ ที่จะต้องศึกษาความคุ้มค่า มันควรจะทำก่อนที่จะเข้าประชุมเป็นข้อบัญญัติ แต่ว่า ด้วยความหวังดีของรองผู้ว่าฯ เห็นว่าจะให้มีการตรวจสอบความคุ้มค่าของงบประมาณ แต่หน้าที่การตรวจสอบต่างๆ เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภา กทม. เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรองผู้ว่าฯ ผมจึงขอตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความคุ้มค่าในโครงการต่างๆ เพราะว่าถ้าฝ่ายบริหารตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบกันเองก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทางสภาก็อยากจะตรวจสอบกับท่าน” นายพีรพลกล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมถกวาระที่ 7.1 ที่เสนอใหม่โดย นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร หรือ เฮียล้าน ส.ก.เขตจอมทอง พรรคเพื่อไทย เรื่อง ขอให้กรุงเทพมหานครพิจารณาทบทวนการจัดตั้งสภาคนเมืองประจำเขต
นายพีรพลได้ตั้งข้อสังเกตต่อการจัดตั้งสภาคนเมืองว่า การจัดตั้งคณะกรรมการลักษณะนี้ไม่เกี่ยวข้องกับประชาชน โดยเปรียบเทียบว่า การดำเนินการจัดตั้งประชาคมเมืองเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับคณะกรรมการ กต.ตร. ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์แก่พรรคพวกตน ไม่ใช่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริงนัก เชื่อว่าจะเกิดปัญหาในภายภาคหน้า ซึ่งทางประชาชนเองต่างก็มีคณะกรรมการชุมชนอยู่แล้ว สิ่งที่ประชาชนต้องการคือเรื่องใกล้ตัว การตั้งประชาคมเมืองจึงไม่ตอบโจทย์
“การตั้งลักษณะนี้ของหัวหน้าหน่วยงานในแต่ละที่ ผมตั้งข้อสังเกต ท่านประธานเคยเห็นคณะกรรมการ กต.ตร. ไหม คณะกรรมการส่วนใหญ่มาจากไหนท่านก็รู้ดี สีอะไรท่านก็รู้ดี ตั้งไปเพื่ออะไรท่านก็รู้ดี ฉะนั้น การตั้งคณะกรรมการในลักษณะนี้ น่าจะเป็นลักษณะเดียวกัน คือ ตั้งมาแล้ว พอมีงานต่างๆ ก็เรียกประชุม ใครจะออกเท่าไหร่ เขตจะจัดงานอย่างนี้ บริษัทนี้ๆ ออกเท่าไหร่ เป็นลักษณะนี้มากกว่า ไม่ใช่ลักษณะของการที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนคนที่ตั้งมา
ท่านสังเกตดูเวลาพวกตั้งๆ แบบนี้ เขาตั้งบริษัทแล้วก็กลุ่มทุนทั้งนั้น มันไม่เกี่ยวกับประชาชนเท่าไหร่ เพราะประชาชนถูกตั้งโดยคณะกรรมการชุมชนไปแล้ว ผมแค่ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งสภาคนเมืองในลักษณะนี้ ต่อไปข้างหน้าผมเชื่อว่าจะมีปัญหา ถูกร้องเรียนว่า ถูกตั้งเพื่อไปไถ ทุกๆ หน่วยงานที่มีการตั้งคณะกรรมการจากผู้บริหารนั้นๆ ในหน่วยราชการตั้งประชาชน โดยเนื้อแท้แล้วก็คือ ตั้งกลุ่มทุนเพื่อไปทำงานให้ตัวเอง ผมอยากให้ท่านคิดถึงข้อนี้ ความหวังดีของท่านในการตั้งประชาคมเมืองเป็นสิ่งที่ดี แต่ตั้งในลักษณะนี้ผมว่าไม่ตอบโจทย์ และมันไม่ใช่การทำงานร่วมกับประชาชนที่แท้จริง”
“ท่านประธาน ท่านผู้ว่าฯ เคยไปวิ่งกับผม วิ่งมา 7 เดือนแล้ว ไฟที่มืด เข้าไปยังมืดอยู่นั่นเอง สิ่งที่ประชาชนต้องการความใกล้ตัว ทางเท้าห่วยก็ห่วยอยู่อย่างนั้น ตั้งประชาคมเมืองแล้วได้อะไร ผมอยากจะบอกท่านประธานผ่านไปถึงผู้ว่าฯ ว่า ท่านอย่าทำงานในลักษณะว่ามีการรายงานมาว่าอย่างนี้อย่างนั้น เขต เวลาไปงานแต่ละที่ เตรียมอย่างเดียวแล้วเป็นผลงาน มีป้ายไวนิล ชื่อโครงการ ไปถึงถ่ายรูปเสร็จ กลับบ้าน แล้วก็ส่งรูปมา โอ้โห นี่เป็นผลงานอันดับ 1 หรือว่าทุกเขตเป็นอย่างนี้เปล่า เป็นนะ การทำงานของเขตเดี๋ยวนี้ การส่งงานก็คือ เอาไวนิลไปถ่าย ให้ประชาชนมาถ่ายรูป บางทีประชุมครั้งเดียว 3 ไวนิล มาถ่ายรูปเสร็จ สลับคนสลับข้าง ถ่ายอีกรูปนึง สลับคนสลับข้าง 3 งานในการประชุมครั้งเดียว ลืมเปลี่ยนเสื้อผมก็เลยจับได้” นายพีรพลกล่าว
นอกจากนี้ นายพีรพลยังกล่าวเสริมถึงเรื่องการใช้งบประมาณของประชาคมเมือง ว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะหากต้องมีการจัดประชุมขึ้น ไม่ทราบว่างบประมาณในการจัดประชุมต้องของบประมาณจากแหล่งใด หากทางเขตขยันจัดประชุมทุกวัน จะสิ้นเปลืองงบประมาณไปมากเท่าไหร่ ทราบว่าท่านหวังดีที่จะช่วยเหลือประชาชน แต่มีอีกหลายวิธีที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้ ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบการใช้งบประมาณในเมื่อไม่มีกฎหมายรองรับว่าเป็นคุณประโยชน์อย่างไร
“ท่านทราบไหมว่า เมื่อสักครู่ ท่านสุรจิต พูดไปแล้วว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ หากมีเบี้ยประชุม ผมไม่ทราบว่ามีหรือเปล่าเพราะว่า การตั้งครั้งนี้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารในการตั้ง แต่การประชุม มีเบี้ยประชุมไม่รู้ว่าต้องของบประมาณจากตรงไหนในการประชุม อย่างน้อยๆ เขตละ 30 คน คูณ 50 เขต เท่าไหร่ครับ 1,500 คน คูณด้วย 1,000 คูณด้วยปี ปีนึงเท่าไหร่ สมมติว่าประชุม ปีละ 18 ล้าน ต่อประชุม 1 ครั้ง ถ้าเขตขยันประชุมทุกวัน ใช้งบประมาณเท่าไหร่ เอาเบี้ยประชุมมาจากไหน ท่านคิดหรือเปล่า ประชุมทำอะไร หน่วยงานนี้จะทำอะไร ไวนิลมาถ่าย เสร็จ เรียบร้อย กลับบ้าน ได้ผลงานของการประชุมแล้ว ได้ผลการทำงานแล้ว เนื้อแท้ของการทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมีอีกหลายวิธี ดูอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้
โอ้โห ตรวจสอบการใช้งบประมาณของเขต ตรวจได้มากกว่า ส.ก. หรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบ แต่ใครจะให้ตรวจ ในเมื่อไม่มีกฎหมายรองรับเลยว่าให้คุณ ให้โทษยังไง ผมขอบอกว่า ท่านหวังดีในการตั้งประชาชนให้มีส่วนร่วมในการทำงาน แต่วิธีการไม่น่าจะถูกต้อง ขอให้ท่านทบทวนและหาวิธีอื่นให้ดีกว่านี้ แต่ว่าท่านจะทบทวนหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่รายละเอียดของอำนาจหน้าที่กฎหมายให้ท่านตั้งได้ แต่การใช้เงินต้องมาขออนุญาตจากสภาว่า เป็นเบี้ยประชุมอย่างไร ถึงตอนนั้นเราค่อยอภิปรายว่า เงินก้อนนี้สมควรในการใช้หรือไม่” นายพีรพลชี้
