จิตแพทย์ ห่วงสื่อฉายภาพซ้ำเหตุรุนแรง ทำสังคมชินชา เสี่ยงเกิด ‘Copycat’ เสนอยกเลิก สวัสดิการซื้อปืน หวั่นเป็นอาวุธสังหาร ขอจำกัดใช้แค่ปฏิบัติหน้าที่
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน อ.เมือง จ.เพชรบุรี ซึ่งคล้ายกับที่เกิดขึ้นในเขตสายไหม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ที่ผ่านมา ทำให้สังคมเกิดความกังวลว่าเป็นลักษณะการลอกเลียนแบบความรุนแรง (Copycat) ว่า หากติดตามข้อมูลจากข่าวจะพบว่าผู้ก่อเหตุจัดการกับความรู้สึกของตนเองในเรื่องคดีความด้วยวิธีไม่เหมาะสมด้วยการระเบิดความรุนแรง จนนำไปสู่การใช้อาวุธปืนทำร้ายคนอื่น โดยไม่กลัวกฎหมายเพราะถูกครอบงำความคิดในเชิงเหตุผล ส่วนการใช้ยาเสพติดจะเกี่ยวข้องมากน้อยอย่างไร จะต้องไปดูในรายละเอียดว่าเป็นเหตุของการใช้ความรุนแรง หรือเป็นอีกส่วนที่เขาใช้เพื่อจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ทั้งนี้ ตนเป็นห่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะจะเป็นการเลียนแบบในกลุ่มผู้ที่ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ อย่างไรก็ตามไม่สามารถสรุปได้ว่าการก่อเหตุครั้งนี้เกิดจากการลอกเลียนแบบเพียงอย่างเดียว เพราะคนที่รู้สติของตัวเองก็จะไม่ลอกเลียนแบบนี้ในเรื่องเช่นนี้ ฉะนั้นเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยเดียว แต่ยังมีอีกหลายๆ องค์ประกอบเกี่ยวข้อง
“สังคมมีความเครียดสูงขึ้น เรายิ่งต้องเพิ่มภูมิคุ้มกันทางจิตใจมากขึ้น จะปล่อยตัวตามสิ่งแวดล้อมไม่ได้ กลับกันเราต้องมีสติ เรียนรู้การจัดการด้านความคิด อารมณ์ด้านลบของตัวเอง ยิ่งเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ เรายิ่งต้องสร้างความตระหนักให้ตัวเอง เพื่อลดความเครียด ความทุกข์ของตัวเองไม่ปล่อยให้เป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้” พญ.อัมพรกล่าว
ด้าน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่า บทเรียนความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากกรณีการใช้อาวุธปืน พบว่าเกิดขึ้นมาจากความเครียดและมีปัญหาทางจิตใจ ซึ่งปกติคนที่จะดูแลในเรื่องนี้มีตั้งแต่ชุมชน และองค์กร เพราะผู้ที่มีอาวุธปืน ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่อยู่ในองค์กรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทหารตำรวจ , อสส., เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ทั้งนี้ กลไกลการดูแลขององค์กรจะต้องทำหน้าที่ดูแลบุคลากร ไม่ใช่พอเกิดปัญหาก็ส่งต่อให้ระบบสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเป็นระบบปลายทาง เพราะก่อนที่คนเหล่านี้จะมีปัญหาเขาเคยเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ให้กับหน่วยงานได้อย่างดี
นพ.ยงยุทธกล่าวว่า การครอบครองอาวุธปืน ต้องมีระบบติดตามปัญหาสภาพจิตใจทั้งระบบ เช่น กองทัพบกมีระบบติดตามอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีโรงพยาบาลตำรวจคอยกำกับติดตามสภาพจิตใจ เพราะต้องเข้าใจว่าอาจก่อเหตุได้ตั้งแต่ตัวเองและผู้อื่น ฉะนั้นอย่าได้นำอำนาจทางปกครองหรือวินัยมาจำกัดในเรื่องการดูแล ครอบครองอาวุธปืนอย่างเดียว แต่ต้องใช้มาตรการการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ จึงอยากให้ยกเลิกซื้ออาวุธปืนสวัสดิการ เพราะคำว่าสวัสดิการนั้นไม่เหมาะใช้กับอาวุธ เพราะการใช้อาวุธเป็นการใช้ในขณะปฏิบัติหน้าที่ หากเสร็จสิ้นภารกิจหรือไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว ก็ไม่ควรมีการครอบครองอาวุธปืน เช่นกรณีเหตุกราดยิงที่เพชรบุรีนี้ จะพบว่าเป็นลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้น แม้ที่มาของอาวุธปืนจะไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน
นพ.ยงยุทธกล่าวว่า ตนอยากชี้ให้เห็นถึงการนำเสนอข่าว ซึ่ง กสทช. ควรเข้ามามีบทบาทควบคุมไม่ให้เกิดความดราม่ามากจนเกินไป เพราะห่วงว่าในอนาคตสังคมจะเกิดความชินชาต่อความรุนแรง โดยพฤติกรรมของความรุนแรงจากการนำเสนอข่าวจะเริ่มจาก 1.เลียนแบบหรือเป็นแบบอย่าง 2.ชินชา และ 3.ลดความยับยั้งชั่งใจ ซึ่ง กสทช.สามารถเข้ามาดูแลและควบคุมได้ตั้งแต่สื่อหลัก รวมถึงสื่อออนไลน์ที่มีการลงทะเบียน เพราะบทเรียนจากการนำเสนอข่าวจะเห็นว่าทุกครั้งมีบทเรียนไม่ซ้ำกันและดราม่าความรุนแรงก็แตกต่างกัน ทั้งนี้ การติดตามข่าวแบบทุกนาที หรือทุกชั่วโมง ทำให้เกิดความเครียดและท้ายที่สุดสังคมก็จะชินชา