สธ.ขยับเกณฑ์หวาน 5% รับภาษีเฟส 3 ปลื้มผู้ประกอบการปรับตัวเพิ่มสินค้า “ทางเลือกสุขภาพ”

สธ.ขยับเกณฑ์หวาน 5% รับภาษีเฟส 3 ปลื้มผู้ประกอบการปรับตัวเพิ่มสินค้า “ทางเลือกสุขภาพ”

วันนี้ (28 มีนาคม 2566) นพ.เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยรัฐมนตรีว่าการ สธ. เป็นประธานเปิดงานมหกรรม “ประเทศไทย หวานแค่ไหนพอ” ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายลดการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็มของคนไทย โดยเฉพาะพฤติกรรมการติดหวานให้น้อยลง

นพ.เธียรชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ. ได้ประกาศนโยบาย “หวานน้อยสั่งได้” และมอบให้กรมอนามัยขับเคลื่อนเพื่อลดปริมาณความหวานของร้านเครื่องดื่มชงลงเหลือร้อยละ 5 ส่งผลให้ในขณะนี้มีภาคธุรกิจแฟรนไชส์เครื่องดื่มรายใหญ่เข้าร่วมนโยบาย “หวานน้อยสั่งได้” จำนวน 27 แบรนด์ รวมทั้งร้านค้าที่เป็นร้านค้าในท้องถิ่น (Local brand) ทั่วประเทศ อีกจำนวน 2,355 ร้าน นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทในการกำกับ ดูแล และส่งเสริมให้มีอาหารมีคุณภาพ ความปลอดภัย มีคุณค่าและสมประโยชน์เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย ได้มีการดำเนินงานเกี่ยวกับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” ที่ปัจจุบันมีเกณฑ์การรับรองสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” จำนวน 14 กลุ่มอาหาร และจำนวนผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพมีจำนวน 2,749 ผลิตภัณฑ์ จาก 444 บริษัท

Advertisement

ทางด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เนื่องจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การบริโภคอาหาร การปฏิบัติตน การออกกำลังกาย เป็นต้น และจากข้อมูลด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหารของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2560–2562 พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลทราย 2.5–2.6 ล้านตันต่อปี และ ปี 2562 คนไทยดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเฉลี่ย 3 แก้วต่อวัน ซึ่งจากข้อมูลสถานการณ์ดังกล่าวเป็นพฤติกรรมการบริโภคที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน นอกจากนี้ กลุ่มโรค NCDs ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งจำนวนการเสียชีวิตและภาระโรคโดยรวม

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า สถานการณ์ประเทศไทยปี 2559-2563 พบว่า มีอัตราการเสียชีวิต เนื่องจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นสาเหตุการตาย 3 อันดับแรก ได้แก่ โรคมะเร็งทุกประเภท โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจขาดเลือด คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตเท่ากับ 123.3, 47.1 และ 31.8 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีความหวาน ความมัน และความเค็มมากเกินเกณฑ์ ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น

Advertisement

“สธ.โดยกรมอนามัย จึงได้จัดงานมหกรรมประเทศไทย หวานแค่ไหนพอ เพื่อเป็นการเตรียมปรับเกณฑ์ความหวานของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของประเทศไทยให้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน โดยปรับลดเกณฑ์ความหวานของการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพจากร้อยละ 6 ให้เป็นร้อยละ 5 เท่ากับหวานน้อยสั่งได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมในการปรับตัว รวมถึงประชาชนก็จะได้ทราบถึงเกณฑ์ความหวานที่ดีต่อสุขภาพของตนเอง” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเริ่มเก็บภาษีความหวานระยะที่ 3 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 เมษายนนี้ สธ.จะมีส่วนร่วมอะไรบ้าง นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า การเก็บภาษีความหวานที่ผ่านมา ผู้ประกอบการก็ได้ปรับตัว จะเห็นได้ว่ามีสินค้าที่เป็นทางเลือกสุขภาพมากขึ้น พร้อมมียอดการจำหน่ายมากขึ้น ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายนี้เราไม่ได้หวังรายได้จากภาษี แต่เราหวังว่าประชาชนจะมีทางเลือก และมีสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันคนไทยเริ่มคุ้นลิ้น คุ้นชินกับรสชาติที่หวาน มัน เค็มที่ลดลงแล้ว

“แรกๆ อาจมีความกังวลว่าสูตรหวานน้อยคนจะบริโภคน้อยลง แต่พบว่าหลังๆ เวลาเข้าร้านไป พนักงานจะถามว่ารับหวานกี่เปอร์เซ็นต์ หรือไม่หวานเลย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีที่เราต้องติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป อย่างไรก็ตาม ระยะถัดไป สธ. จะต้องสนับสนุนด้านความรู้ให้ประชาชนมากขึ้น สร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการมากขึ้น เพื่อให้สินค้าสูตรหวานน้อยสามารถจำหน่ายได้ และสร้างความร่วมมือในชุมชน อย่างที่เราทำโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ เราบริโภคลดหวาน แต่ไม่ลดคำหวานใส่กัน ชีวิตเรายังคงมีความหวานได้ เพื่อให้สังคมโดยรวมมีความสุข” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image