หมอห่วงโควิดซา ‘ไข้หวัดใหญ่’ พุ่ง! จับตากลุ่มเสี่ยง ‘สูงวัย-เด็ก’ แนะฉีดวัคซีนสกัด

หมอห่วงโควิดซา ‘ไข้หวัดใหญ่’ พุ่ง! จับตากลุ่มเสี่ยง ‘สูงวัย-เด็ก’ แนะฉีดวัคซีนสกัด

วันนี้ (31 มีนาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ จัดเสวนา ไข้หวัดใหญ่หายไปไหนในยุค COVID-19 และควรดูแลตัวเองอย่างไร โดยมี รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และ ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร ประธานคลัสเตอร์วิจัยอายุรศาสตร์เขตร้อน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถานเสาวภา ฝ่ายวิชาการ ร่วมให้ข้อมูล เพื่อย้ำเตือนและแนะแนวทางการดูแลตนเองและครอบครัวในภาคประชาชน รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวของภาครัฐและภาคเอกชนในด้านการสาธารณสุขและการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวีกล่าวว่า 3 ปีที่ผ่านมา ไข้หวัดใหญ่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเรื่องโควิด-19 และมีการป้องกันตัวที่ดี เช่น งดพบปะสังสรรค์ สวมหน้ากากอนามัย ระวังเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผลพลอยได้ ทำให้ป้องกันเชื้อโรคจากทางเดินหายใจต่างๆ ได้เกือบหมด แต่ปัจจุบันที่สถานการณ์ต่างไป มีการกลับมาใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมตามปกติ ทำให้คาดว่า ในประเทศไทยโรคไข้หวัดใหญ่น่าจะกลับมาแพร่ระบาดแน่นอน อีกทั้งที่ผ่านมา 3-4 ปี คนไม่ค่อยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ทำให้คนเหล่านั้นไม่มีภูมิคุ้มกัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์ไปอย่างมาก ซึ่งหากติดเชื้อ อาการจะแย่ลงกว่าเก่า การป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดคือ ฉีดวัคซีน

Advertisement

“ในประเทศไทยไข้หวัดใหญ่จะมีช่วงแพร่ระบาดในฤดูฝน ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เป็นช่วงเวลาที่มีการบ่มเชื้อโรคมากที่สุด เพราะเป็นช่วงเปิดเทอม เด็กออกไปทำกิจกรรมใกล้ชิดกัน และกลับมาเป็นพาหะพาเชื้อสู่ครอบครัว ติดผู้สูงอายุในบ้าน เช่น ปู่ย่า ตายาย ดังนั้น 2 กลุ่มหลัก ที่ควรสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน คือ 1.กลุ่มเด็กที่จะเป็นกลุ่มติดเชื้อมากและเป็นแหล่งของการแพร่กระจาย 2.กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ปอด ไต และโรคสมอง เพื่อป้องกันอันตรายถึงชีวิต” รศ. (พเศษ) นพ.ทวีกล่าว

นอกจากนี้ รศ. (พิเศษ) นพ.ทวีกล่าวว่า จากสถิติขององค์การอนามัยโลก หากไม่มีการฉีดวัคซีน ผู้ใหญ่จะมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ร้อยละ 5-10 ส่วนเด็กจะอยู่ที่ร้อยละ 20-30 ต่อปีของประชากรทั้งหมด โดยเมื่อคำนวณจากประชากรโลกที่มีทั้งสิ้น 7,000 ล้านคน แสดงว่าผู้ใหญ่ทั่วโลกอาจะติดไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 700 ล้านคน และจำนวนนี้จะมีอาการป่วยหนักเข้านอนในโรงพยาบาล หรือเข้ารักษาในไอซียูประมาณ 5 ล้านคน และอัตราการเสียชีวิตประมาณ 5 แสนคน ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่หากสามารถให้วัคซีนกับคนทั่วโลกในทุกปีได้ ตัวเลขต่างๆ ก็จะลดลง

“สำหรับประเทศไทย ในแต่ละปีจะมีการเตรียมวัคซีนแบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.แบบที่ภาครัฐดำเนินการจัดหาให้ประชาชนฉีดฟรีประมาณ 6 ล้านโดส (ประชากรกลุ่มเสี่ยง กลุ่มประกันสังคม และบุคลากรทางการแพทย์) โดยเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยงก่อน และ 2.ภาคเอกชนดำเนินการจัดซื้อเอง ประมาณ 3 ล้านโดส หมายถึงคนไทยจะได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละประมาณ 9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 12-14 ของประชากร ซึ่งในปี 2565 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวประมาณ 13 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 19 ของประชากรทั้งประเทศ การเตรียมวัคซีนจึงยังไม่เพียงพอต่อความต้องการทั้งในกลุ่มเด็กที่เป็นแหล่งแพร่ระบาด และกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และยังรวมถึงกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน หลอดเลือดสมอง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง จึงเป็นหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพของประชาชน และต้องเร่งดำเนินการมากขึ้น” รศ. (พิศษ) นพ.ทวีกล่าว

Advertisement

ศ.นพ.ธีระพงษ์กล่าวว่า สำหรับคนที่ไม่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เมื่อติดเชื้ออาจจะมีอาการรุนแรงโดยเฉพาะปอดอักเสบ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือบางรายต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ไตวาย โรคปอดเรื้อรัง ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าอายุจะน้อยกว่า 60 ปี รวมทั้งอาจพบการติดเชื้อรุนแรงในสตรีตั้งครรภ์ นอกจากนั้น ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ยังอาจพบมีการติดเชื้อร่วมกับเชื้อไวรัสก่อโรคอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น เช่น โควิด-19 ไวรัสอาร์เอชวี และยังมีแบคทีเรียบางตัวเกาะในทางเดินหายใจ ในคอรอซ้ำเติม เช่น เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส คนที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มักจะเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ซึ่งหากฉีดวัคซีนก็จะสามารถป้องกันการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตได้ จากสถิติตัวเลขในประเทศไทยพบว่า ผู้สูงอายุเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากกว่าคนอายุน้อยถึงเกือบ 70 เท่า และผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังเมื่อป่วยไข้หวัดใหญ่และมีปอดอักเสบพบว่าเสียชีวิตมากกว่าคนอายุน้อยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังถึงเกือบ 30 เท่า

“สิ่งที่น่าห่วงอีกข้อคือ การทิ้งรอยโรคของผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่รุนแรงที่แม้เดิมจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี แต่เมื่อหายป่วยแล้วพบว่า บางรายมักจะมีอาการทรุดลง หรือที่เรียกว่า Deconditioning เช่น ช่วยเหลือตนเองได้ลดลงต้องมีผู้ดูแล หรือผู้สูงอายุที่เดิมช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้อยู่แล้วหลังป่วยหนักทำให้เกิดภาวะผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ป่วย แต่ยังกระทบผู้คนรอบข้างเช่นกัน ดังนั้น หากเป็นไปได้ จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะดีที่สุด เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่จะนำไปสู่การป่วยรุนแรง โดยในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิด คือ ชนิด 3 สายพันธุ์ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นวัคซีนที่ภาครัฐให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง และชนิด 4 สายพันธุ์ ที่ภาครัฐจัดเตรียมให้กับบุคลากรทางการแพทย์ สตรีตั้งครรภ์ และมีจำหน่ายโดยทั่วไปในโรงพยาบาลเอกชนและคลินิก โดยทั้ง 2 ชนิดให้ผลดี” ศ.นพ.ธีระพงษ์กล่าว

ศ.นพ.ธีระพงษ์กล่าวว่า แต่อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ วัคซีนแบบชนิด 4 สายพันธุ์มีการพัฒนาให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำมาใช้สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีจุดด้อยในร่างกาย คือ เมื่ออายุมากขึ้นการตอบสนองวัคซีนที่ใช้ทั่วไปต่ำกว่าคนอายุน้อย ดังนั้น สำหรับผู้สูงอายุหากต้องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรเลือกที่มีประสิทธิภาพครอบคลุม ภายใต้การดูแลของแพทย์

“เราหวังให้ภาครัฐตระหนักถึงกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ นั่นคือ มีการเพิ่มจำนวนการฉีด ขยายการฉีดวัคซีนให้เป็นแบบ 4 สายพันธุ์ และเพิ่มงบประมาณการฉีดวัคซีนสู่ประชากรวัยแรงงาน เพื่อเป็นหลักประกันด้านสุขภาพให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง เป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งหากไม่มีการฉีดวัคซีนที่เพียงพอและเกิดการแพร่ระบาด ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาส และสูญเสียทรัพยากรกับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามากเสียยิ่งกว่าการป้องกัน ตามหลักการคำนวณด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข โดยผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้อต่างๆ เพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ http://www.ift2004.org/ หรือทางเพจของมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่” ศ.นพ.ธีระพงษ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image