สหภาพลูกจ้างรัฐฯ ร่วมกิจกรรมเมย์เดย์ จี้รัฐบาลดูแลสวัสดิการบุคลากร สธ.กว่า 1.4 แสนคน
วันนี้ (1 พฤษภาคม 2566) สมาพันธ์สมานฉันแรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และสหภาพแรงงานกลุ่มย่านต่างๆ ร่วมจัดกิจกรรมเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2566 หรือ วันแรงงานสากล (May Day) โดยช่วงเช้านัดหมายกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ฝั่งประตู 5 เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล
นายโอสถ สุวรรณ์เศวต ประธานสหภาพลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย (สลท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมกิจกรรมวันเมย์เดย์ กับ สสรท. และ สรส. เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีผู้แทนรับหนังสือดังกล่าว ว่า กลุ่มลูกจ้างได้ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องแก่รัฐบาล ซึ่งรายละเอียดเป็นเรื่องที่เคยยื่นต่อกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนองหรือให้การช่วยเหลือใดๆ ให้ลูกจ้างที่ทำงานในสถานพยาบาลมีความก้าวหน้า ไม่มีความมั่นคงในสายงานสนับสนุน
นายโอสถ กล่าวว่า ปัจจุบัน สธ. มีการจ้างงานลูกจ้างประเภทต่างๆ โดยเฉพาะลูกจ้างสายสนับสนุนบริการมี 56 สายงาน มีทั้งพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) ลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างเหมาบริการทั้งรายวัน รายเดือน มีกว่า 140,000 คน ทำให้ลูกจ้างในโรงพยาบาล หน่วยงานในสังกัด สธ. เช่น พนักงานขับรถยนต์ พนักงานช่วยเหลือคนไข้ ผู้ช่วยพยาบาล พนักงานเปล พนักงานบัตรรายงานโรค พนักงานห้องเอกซเรย์ เป็นต้น ต่างทำงานสนองนโยบายมาตลอด
“ยิ่งในช่วงโควิด-19 ระบาด ยิ่งทำงานกันหนักหน่วงมาก และต่างเฝ้ารอสิทธิสวัสดิการต่างๆ ตามที่ สธ.เคยประกาศให้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นค่าโอทีที่บอกเพิ่มขึ้น ค่าเสี่ยงภัย หรือแม้แต่ค่าตอบแทนพิเศษ ฉบับที่ 11 โดยทั้งหมดทางสหภาพลูกจ้างฯ ได้รับการร้องเรียนจากบุคลากรว่า ยังไม่ได้รับอีกจำนวนมาก บางรายถูกตัดค่าโอทีเสียอีก นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นความเหลื่อมล้ำ แต่ในเรื่องค่าตอบแทน การจ้างงาน โดยเฉพาะการจ้างรายวัน จ้างเหมาเป็นปัญหามาก เพราะทำให้คนทำงานรู้สึกไม่มั่นคง ยกตัวอย่าง พยาบาลยังจ้างรายวันวันละ 562บาทก็มี พบได้ทุกแห่งของโรงพยาบาลใน สธ. ทั้งที่ไม่ควรมีแล้ว พยาบาลทำงานวันละ 16 ชั่วโมง แต่ได้เงินแค่นี้ ล่าสุด มีการตัดค่าโอทีบุคลากรอีก ซึ่งเรื่องนี้ สธ.ทราบเรื่องนี้ดี มีคนร้องเรียนเยอะมาก ดังนั้น วันนี้จึงต้องมาเรียกร้องในฐานะลูกจ้าง เรียกร้องเนื่องในวันแรงงาน เพื่อให้รัฐบาลได้เห็นและให้ความสำคัญ” นายโอสถ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลดังกล่าวได้เสนอต่อ สธ.แล้วหรือไม่ และได้ประสานนำข้อร้องเรียนให้ สธ.แล้วหรือไม่อย่างไร นายโอสถ กล่าวว่า สธ.มีข้อมูลอยู่แล้ว และได้เรียกร้องมาตลอด แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ลูกจ้างจึงต้องมาร้องเนื่องในวันแรงงานสากลด้วย
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังเป็นรัฐบาลรักษาการ นายโอสถ กล่าวว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่ รัฐมนตรีว่าการ สธ.คนใหม่ จะขอหารือกับทาง สธ.อีกครั้งอย่างกัลยาณมิตร และจะเสนอต่อรัฐบาลใหม่ด้วยเช่นกัน
“จริงๆรัฐบาลรักษาการก็สามารถบริหารจัดการได้ อย่างเรื่องงบประมาณ นายกฯ เคยบอกให้ใช้งบกลางได้ เราก็รอแล้วรออีก อย่างล่าสุดปลัด สธ. ให้ข่าวว่า มี 3,000 ล้านบาท จะนำมาจ่ายค่าเสี่ยงภัยก่อน ตอนนี้ลูกจ้างสายสนับสนุนก็ยังไม่ได้เช่นเดิม” ประธานสหภาพฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อเรียกร้อง สลท. มีทั้งหมด 6 ข้อ 1.ขอให้พนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) สายสนับสนุนบริการเข้าสู่ระบบการจ้างงานด้วยเงินงบประมาณโดยตรง มิใช่การจ้างงานด้วยเงินบำรุงของรพ.หรือหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งทำให้ไม่มีความมั่นคงในการจ้างงาน
2.ขอให้ สธ. ยกเลิกการจ้างงานระยะสั้น 4 ปี ที่ทำให้ไม่มีความมั่นคงในการทำงานของพนักงาน สธ.ขอให้ปรับระบบสัญญาการจ้างงานจนถึงอายุ 60 ปี เช่นเดียวกับลูกจ้างประจำ เนื่องจากในรอบปีที่ผ่านมา มีการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมจาก สธ. ที่ให้ปรับลดสัญญาจ้างงานของ สธ. จากเดิม 4 ปี ลดให้เหลือสัญญาจ้าง 1 ปี ทั้งที่มีระเบียบของคณะกรรมการบริหารพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) รองรับอยู่แล้ว ทาง สลท.มองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และอาจจะมีการกระทำซ้ำได้อีกในอนาคต
3.ขอให้ยกเลิกการจ้างที่ไม่มีความมั่นคงของระบบการจ้างงานแบบลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างเหมาบริการ (รายเดือน รายวัน) ของ สธ.ทั้งหมด โดยขอให้มีการปรับเข้าสู่ระบบการจ้างงานบรรจุเป็นพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) ทั้งหมดทั่วประเทศ ให้มีลูกจ้าง สธ.เพียงสายงานเดียว คือ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.)
4.ขอให้พนักงาน และลูกจ้าง สธ. ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 5 อำเภอ ของ จ.สงขลา ได้รับค่าเสี่ยงภัยเหมือนข้าราชการเช่นกัน
5.ขอให้พนักงานและลูกจ้าง สธ.ทุกประเภทได้รับค่าเสี่ยงภัยจากการปฏิบัติงานตามสถานการณ์โควิด-19 ในโรงพยาบาลหรือหน่วยงานตามคำสั่งของรัฐบาล และ สธ.
6.ขอปรับค่าทำงานนอกเวลา หรือค่าโอที (OT) ของพนักงาน สธ.และลูกจ้างสายสนับสนุนบริการให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่สูงขึ้น โดยปรับเป็นขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศในส่วนของสายงานที่ไม่กำหนดวุฒิ
