สธ.ประเมินยุทธศาสตร์คุมโรคระหว่างปท. เฟส 1 ชงเพิ่มทักษะจำเป็น ตั้งกลุ่มงานระดับเขต

สธ.ประเมินยุทธศาสตร์คุมโรคระหว่างปท. เฟส 1 ชงเพิ่มทักษะจำเป็น ตั้งกลุ่มงานระดับเขต

วันนี้ (28 พฤษภาคม 2566) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิระดับ 11) และประธานคณะกรรมการ MIU (MOPH Intelligence Unit) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า พื้นที่ชายแดนมีการเดินทางข้ามไปมา ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโรคได้ การป้องกันและควบคุมโรคให้ประสบผลสำเร็จจึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความร่วมมือกับทั้งประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนและระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศ ด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ กรมควบคุมโรค ระยะที่ 1 (พ.ศ.2560 – 2564) เป็นกรอบทิศทางการดำเนินงาน และสิ้นสุดลงในปี 2564 สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค จึงทำการศึกษาประเมินผล เพื่อนำข้อมูลมาเป็นแนวทางสำหรับยุทธศาสตร์ฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ.2565 – 2569) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยทำการศึกษาเชิงคุณภาพและประเมินผลผ่านกระบวนการ 2 รูปแบบ ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย จากจังหวัดที่ได้รับการประเมิน โดยแบ่งกลุ่มตามพื้นที่จังหวัดชายแดน ทั้งที่ติดกับ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา และมาเลเซีย รวมถึงการตอบคำถามแบบประเมินยุทธศาสตร์ด้วยตนเองทางระบบออนไลน์ ของบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านนี้

นพ.รุ่งเรือง กล่าวว่า ผลการศึกษาพบว่า ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาศักยภาพองค์กร บุคลากรด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ มีการบูรณาการทำงานกับหน่วยงานหลายภาคส่วน และทุกชายแดนสามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้ การพัฒนาบุคลากรส่วนใหญ่มุ่งเป้าที่นักระบาดวิทยาภาคสนามและผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันควบคุมโรคในระดับนานาชาติเพิ่มขึ้น ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาระบบบริหารจัดการ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ส่วนภูมิภาคมีการนำระบบข้อมูลสารสนเทศความร่วมมือระหว่างประเทศมาใช้ปฏิบัติงาน ขณะที่ส่วนกลางมีการจัดทำชุดความรู้หลายภาษา และเทคโนโลยีสนับสนุนการดำเนินงาน ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาบทบาทนำระดับนานาชาติ และขับเคลื่อนข้อตกลงระหว่างประเทศ ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในการประชุมระดับทวิภาคี พหุภาคี และนานาชาติ มีการผลักดันในการนำนโยบาย ข้อตกลงระหว่างประเทศ และบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานระหว่างประเทศ และ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ มีทำเนียบและการพัฒนาเครือข่ายทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ

“ในด้านคะแนนตามรายยุทธศาสตร์ระหว่างส่วนกลางและภูมิภาค พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากทั้งสองมีการดำเนินการร่วมกับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศและเครือข่าย ในการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค และปัญหาสุขภาพระหว่างประเทศ แต่มีข้อเสนอแนะ คือ ส่วนกลางและภูมิภาคให้มีการอบรมทักษะที่จำเป็นแก่การปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น, ให้มีกลุ่มงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศระดับเขต รวมทั้งเพิ่มอัตรากำลัง, มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับงานความร่วมมือระหว่างประเทศและให้ส่วนกลางบูรณาการโปรแกรมร่วมกัน, กำหนดผู้ประสานงานหลักระหว่างประเทศในระดับจังหวัดและปรับปรุงข้อมูลทุกปี และให้ผู้บริหารจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุน” นพ.รุ่งเรือง กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image