แอสตร้าฯ เผยผลสำรวจกลุ่มเสี่ยง ปท.ไทยกว่า 60% ยังรับผลกระทบในการใช้ชีวิตจากโควิด
วันนี้ (4 กรกฎาคม 2566) บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และประชากรกลุ่มเสี่ยงสูง 607 ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรราว 500,000 คน ในประเทศไทย ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อและอาจเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19 ได้มากกว่าคนทั่วไป เพื่อทำความเข้าใจและแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในด้านต่างๆ โดยพบว่า ราวร้อยละ 60 ของกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่า โรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งในด้านสังคม และการทำงาน
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าวัคซีนและมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อื่นๆ ในปัจจุบันจะสามารถป้องกันผลกระทบที่รุนแรงจากโรคโควิด-19 ได้ แต่สำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง มาตรการดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ แอสตร้าเซนเนก้า จึงมุ่งเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยยกระดับการดูแลสุขภาวะให้กับประชากรกลุ่มนี้ ซึ่งรวมถึงทางเลือกอื่นๆ ในการป้องกันและการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการเกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19
“จากผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า ร้อยละ 40-44 ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคโควิด-19 และมีประวัติเคยได้รับวัคซีนมาก่อน คือ ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งถึงแม้ว่าจะเคยได้รับวัคซีนมาแล้วก็ตาม ประชากรที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องมีแนวโน้มสูงที่จะเสียชีวิตระหว่างเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือมีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในแผนกผู้ป่วยวิกฤต (ICU) รวมถึงมีแนวโน้มที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจขณะรักษาตัว” นายโรมัน กล่าวและว่า สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องในประเทศไทย ยังคงเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19 เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างของผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องในประเทศไทยกลับพบว่า กว่าร้อยละ 87 เชื่อว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วต่อการป้องกันโรคโควิด-19 ขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 92 มีความสนใจและอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางอื่นๆ ในการป้องกันโรคโควิด-19
นายโรมัน กล่าวว่า ผลการสำรวจดังกล่าว ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวภาวะความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกลุ่มประชากรดังกล่าว ตามเป้าหมายของแคมเปญ “เตรียมภูมิคุ้มกันให้ทุกความพิเศษ” จากแอสตร้าเซนเนก้า การส่งเสริมความตระหนักรู้ในวงกว้างจะช่วยให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพเกี่ยวกับแนวทางอื่นๆ ในการป้องกันโรคโควิด-19
ด้าน นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และรองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า สถานการณ์โรคระบาดได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงหรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตได้มากกว่าคนทั่วไปหากได้รับเชื้อ ดังนั้น หากมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับโรคโควิด-19 เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต ต้องให้ความสำคัญในการดูแลประชากรกลุ่มนี้ ด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้พวกเขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
“ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากโรคโควิด-19 ได้มากกว่าคนทั่วไป ได้แก่ 1.กลุ่มเสี่ยงสูง 607 ได้แก่ ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและผู้ป่วยกลุ่มโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค 2.ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตทั้งการฟอกเลือดและการล้างไตทางหน้าท้อง 3.ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน 4.ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดหรือมะเร็งที่อวัยวะอื่นๆ 5.ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีภูมิคุ้มกันบกพร่อง 6.ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีซีดี 4 น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. และ 7.ผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าควรได้รับยา” นพ.วีรวัฒน์ กล่าว