ปลัด สธ.ติดตามการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมประกอบพิธีฮัจย์ บริการแล้วกว่า 7 พันคน

ปลัด สธ.ติดตามการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมประกอบพิธีฮัจย์ บริการแล้วกว่า 7 พันคน

วันนี้ (12 กรกฎาคม) ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมคณะผู้บริหาร ประชุมหารือร่วมกับ สำนักงานแพทย์เพื่อกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย เพื่อติดตามผลการดำเนินงานให้บริการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี 2566 และหารือแผนการในอนาคต พร้อมตรวจเยี่ยมที่ทำการสำนักงานแพทย์ฯ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

นพ.โอภาสกล่าวว่า สธ.มีนโยบายสนับสนุนด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ โดยจัดบริการตรวจสุขภาพก่อนการเดินทางไป จัดส่งหน่วยแพทย์พยาบาลไปให้การดูแลรักษาระหว่างการประกอบพิธี และติดตามดูแลสุขภาพหลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย

Advertisement

นพ.โอภาสกล่าวว่า สำหรับปี 2566 มีชาวไทยมุสลิมเดินทางไปร่วมประกอบพิธีประมาณ 1.2 หมื่นคน สธ.ได้จัดทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 3 ชุด ประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวม 42 คน โดยมีภารกิจสำคัญ คือ สำนักงานแพทย์เพื่อกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย (นครมักกะห์) จัดตั้งโรงพยาบาลชั่วคราว ขนาด 30 เตียง หากเกินศักยภาพในการรักษาจะส่งต่อไปรักษายังโรงพยาบาลท้องถิ่น, จัดตั้งศูนย์ประสานงานประจำนครมาดีนะห์ บริการให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพและติดตามอาการ และจัดตั้งหน่วยย่อยภาคสนาม ให้บริการปฐมพยาบาล บริการฉุกเฉิน และออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามที่พักต่างๆ โดยตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม-วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ให้บริการผู้ป่วยชาวไทยทั้งหมด 7,632 คน เป็นกลุ่มอายุ 51-60 ปี มากที่สุด รองลงมา คือ 61-70 ปี แยกเป็น ผู้ป่วยนอก 7,332 คน ส่วนใหญ่มีอาการทางเดินหายใจ และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยใน 241 คน ส่วนใหญ่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรัง เช่น โรคหอบ โรคหัวใจ และโรคไต มีผู้ป่วยได้รับการส่งต่อ 59 คน จากโรคหอบ ภาวะหายใจล้มเหลว โรคกล้ามเนื้อหัวใจฉับพลัน โรคไตวายเรื้อรัง และมีผู้เสียชีวิต 13 คน ส่วนใหญ่เกิดจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจฉับพลัน โรคหอบ และมะเร็งระยะสุดท้าย

Advertisement

ทั้งนี้ ประเทศไทยและซาอุดีอาระเบียมีการจัดทำร่างแผนการขับเคลื่อนและส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี ครอบคลุมความร่วมมือ 3 ด้านหลัก คือ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม โดยความร่วมมือด้านสาธารณสุขอยู่ภายใต้ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบที่จะส่งเสริมความมั่นคงทางสุขภาพการแลกเปลี่ยนความรู้และการปฏิบัติที่ดี และให้การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในสาขากำลังคนทางการแพทย์ การวิจัยทางการแพทย์ และการพัฒนายาและวัคซีน โดยในเดือนมีนาคม 2565 ซาอุดีอาระเบียได้มาศึกษาดูงานด้านการพัฒนากำลังคนด้านการพยาบาลและการควบคุมโรคของไทย โดยเฉพาะการตอบโต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการฉีดวัคซีนโควิด-19 และในเดือนธันวาคม 2565 ได้ศึกษาดูงานด้านพัฒนากำลังคนด้านการพยาบาลของไทยอีกครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image