บอร์ด สปสช.เร่งจ่ายชดเชยค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพย้อนหลังตั้งแต่ 1 ต.ค.65 มีข้อมูลรอแล้วกว่า 600 ล.

บอร์ด สปสช.เร่งจ่ายชดเชยค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพย้อนหลังตั้งแต่ 1 ต.ค.65 มีข้อมูลรอแล้วกว่า 600 ล.

วันนี้ (8 สิงหาคม 2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา มีมติรับทราบการลงนามในประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การดําเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2566 ซึ่งลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566

ทั้งนี้ รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในฐานประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ประกาศหลักเกณฑ์ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญ คือ สปสช. สามารถใช้เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไปสนับสนุนการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP) แก่ประชาชนไทยทุกคนทุกสิทธิ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565

“ที่มาของการออกประกาศฉบับนี้ เนื่องจากประกาศหลักเกณฑ์การดําเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ ฉบับที่ 1 ซึ่งว่าด้วยกระบวนการการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการจัดบริการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค และควรจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 นั้น มีประเด็นที่ไม่ชัดเจนทางกฎหมายว่าที่ สปสช. ใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคครอบคลุมคนไทยทุกคนทุกสิทธินั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือต้องสนับสนุนการจัดบริการให้เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ทำให้การประกาศใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวถูกเลื่อนออกไป” รศ.พญ.ประสบศรี กล่าว

Advertisement

รศ.พญ.ประสบศรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ก็มีการออกประกาศหลักเกณฑ์เพิ่มเติมฉบับที่ 2 วางแนวทางให้ใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคเฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองไปก่อน ส่วนผู้มีสิทธิสุขภาพอื่นๆ เช่น ผู้ประกันตน ข้าราชการ สปสช. และ สธ.ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหาทางออกด้วยการขอความร่วมมือหน่วยบริการให้บริการแก่ประชากรกลุ่มนี้ไปก่อน และส่งข้อมูลการเบิกจ่ายมาเก็บไว้ที่ สปสช. โดยเมื่อมีความชัดเจนทางข้อกฎหมายแล้ว สปสช. จะได้จ่ายชดเชยค่าบริการให้ทันที

รศ.พญ.ประสบศรี กล่าวต่อไปว่า ในด้านการสร้างความชัดเจนด้านกฎหมาย ด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ส่งเรื่องการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้บุคคลใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 และมาตรา 10 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา โดยต่อมาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ครม.ได้มีมติรับทราบผลการตรวจพิจารณาและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่ส่งไปนี้ซึ่งระบุว่า ตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เห็นชอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ครอบคลุมการให้บริการสาธารณสุขแก่ “ประชากรไทยทุกคน” โดยมิได้ยกเว้นบุคคลตามมาตรา 9 และมาตรา 10 ดังนั้น สปสช.จึงมีอำนาจในทางบริหารตามที่ได้รับมอบหมายจาก ครม. พร้อมกันนี้มติ ครม. ยังให้ สธ., สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษนี้ ดังนั้น บอร์ด สปสช. จึงมีมติรับทราบมติ ครม.และรับทราบการลงนามในประกาศหลักเกณฑ์ฯ (ฉบับที่ 3) ในการประชุมครั้งนี้

“สำหรับการดำเนินการในปีต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ด้วยมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ถือเป็นมติสำคัญที่ยืนยันการดำเนินการบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคนเป็นอำนาจ สปสช. ที่ทำได้ ทั้งในมาตรา 5 และ 18 (14) ดังนั้นในการของบประมาณจะต้องอ้างมติ ครม. วันที่ 18 กรกฎาคม 2566 เพื่อยืนยันหลักการ และเพื่อความยั่งยืนในการของบประมาณนี้” รศ.พญ.ประสบศรี กล่าว

Advertisement

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า หลังจากที่บอร์ด สปสช. ได้รับทราบความชัดเจนทางกฎหมายต่างๆ แล้ว ได้กำชับให้ สปสช. เร่งดำเนินการใน 2-3 ประเด็น คือ

1.เร่งรัดการจ่ายชดเชยค่าบริการ แก่หน่วยบริการที่จัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ประชากรกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้มีสิทธิบัตรทอง ตามที่ได้ขอความร่วมมือให้จัดบริการไปพลางก่อนระหว่างรอความชัดเจนทางกฎหมายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตามแนวทางที่วางไว้ หน่วยบริการจะส่งข้อมูลการเบิกจ่ายมารอไว้ที่ สปสช. อยู่แล้ว ขณะนี้มีข้อมูลที่รอการเบิกจ่ายอยู่แล้วประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่ง สปสช.จะเร่งจ่ายเงินให้ต่อไป ขณะเดียวกัน ก็ขอให้หน่วยบริการที่ยังไม่ได้ทำเรื่องเบิกเข้ามา เร่งดำเนินการส่งข้อมูลการเบิกจ่ายโดยเร็วต่อไป

2.ประสานงานประชาสัมพันธ์ให้หน่วยบริการ จัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเพิ่มเติม เพราะแม้ขณะนี้จะเข้าสู่ช่วงปลายปีงบประมาณ แต่ก็ยังพอมีเวลาที่หน่วยบริการจะสามารถจัดบริการเชิงรุกด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้ และเมื่อจัดบริการแล้วก็สามารถส่งข้อมูลเพื่อเบิกจ่ายเงินมายัง สปสช. ได้ทันที

และ 3.ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบสิทธิในการรับบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อที่จะได้เข้าไปรับบริการตามสิทธิ รวมทั้งขอความร่วมมือกรมบัญชีกลาง และสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ให้ช่วยประชาสัมพันธ์แก่ข้าราชการและผู้ประกันตนอีกทางหนึ่งด้วย

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image