2ปี “มะเร็งรักษาทุกที่” สปสช.เปิดเวทีร่วมกำหนดทิศทาง ก้าวสู่บริการที่ตอบโจทย์ทุกคน

เป็นเวลากว่า 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศใช้นโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” (Cancer Anywhere) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค) เข้าถึงการรักษาได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้ “ใบส่งตัว”

ข้อมูลล่าสุดจาก สปสช.ระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งถึง 265,731 คน และหากนับเป็นจำนวนครั้งที่รับบริการก็มากถึง 2,704,244 ครั้ง

แม้ตัวเลขดังกล่าวจะทำให้เห็นถึงประสิทธิผลเชิงประจักษ์ของนโยบาย แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีนโยบายใดที่จะสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด ซึ่ง สปสช.ก็ได้มุ่งพัฒนาให้บริการมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านกลไกที่สำคัญอย่างการสร้างการมีส่วนร่วม

ADVERTISMENT

ดังนั้น เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 จึงได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมถึงจัดเสวนาหัวข้อ “2 ปี มะเร็งรักษาทุกที่ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จถ้วนหน้า” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกำหนดทิศทางของบริการให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการอย่างยั่งยืน

ADVERTISMENT

นพ.ธีระชัย ทรงเกียรติกวิน รองประธานกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสาขามะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่เป็นนโยบายที่ดี ทำให้ประชาชนมีความสะดวกสบายในการเข้ารับการรักษามากขึ้นแต่การรักษามะเร็งจะสำเร็จได้ต้องมีการให้ความสำคัญกับระบบที่ซ่อนอยู่คือ ระบบพยาบาลผู้ประสานงานด้านโรคมะเร็ง (Cancer Nurse Coordinator) ซึ่งเป็นสิ่งที่ สธ.กำลังดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าขณะนี้ระบบยังไม่ยั่งยืน เนื่องจากพยาบาลมีหน้าที่ค่อนข้างมากและเปลี่ยนคนไปมาเสมอ ฉะนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับระบบนี้ เพราะหากระบบพัง ผู้ป่วยจะต้องกลับมารับใบส่งตัวเช่นเดิม

นพ.ธีระชัย กล่าวอีกว่า ในฐานะของผู้ปฏิบัติงาน มองว่าสิ่งที่ควรปรับปรุงให้ดีขึ้นคือ การลงทะเบียน ซึ่งส่วนใหญ่มีการใช้ข้อมูลจากระบบบันทึกข้อมูลและประมวลผลข้อมูลการบริการทางการแพทย์ (e-Claim) ปัญหาคือ เมื่อโรงพยาบาลเบิกค่าบริการจาก e-Claim ได้ จะเห็นแต่ตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่เห็นสถานการณ์โดยรวมที่แท้จริงของผู้ป่วย ขณะเดียวกัน บางโรงพยาบาลก็ไม่เคยเบิกเงินผ่านระบบ Cancer Anywhere เนื่องจากผู้ที่ทำการเบิกจ่ายไม่เข้าใจว่าในช่องเบิกจ่ายมีช่อง Cancer Anywhere รวมอยู่ด้วย ซึ่งสิ่งนี้เป็นข้อมูลที่ สปสช.เขตควรจะเห็นและรีบตรวจสอบ

นพ.ศุภกร พิทักษ์การกุล รองผู้อํานวยการด้านการแพทย์สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า สิ่งที่อยากจะให้ สปสช.เพิ่มเติมมากขึ้นคือ การประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะหลายครั้งหน่วยบริการที่รักษาโรคมะเร็งและเจ้าหน้าที่ไม่รับรู้ถึงนโยบาย ทั้งยังปฏิเสธที่จะรับรู้นโยบาย และยังให้ผู้ป่วยกลับไปขอใบส่งตัวเช่นเดิมด้วย

รวมไปถึงการแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันระหว่างหน่วยบริการ เพราะจะสามารถตอบโจทย์ในเรื่องการรับซื้อเครื่องมือราคาแพงได้ ซึ่งจริงๆ หลายที่มีทรัพยากรที่กระจายตัวอยู่ แต่ผู้ป่วยอาจจะเข้าไม่ถึง หรือหน่วยบริการไม่แนะนำให้ไป และหากสามารถทำให้หน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามาร่วมด้วยได้ ก็น่าจะเกิดประโยชน์มากขึ้น

ขณะที่ ผศ.พญ.จารุวรรณ เอกวัลลภ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย บอกว่า นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ ปัจจุบันอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงยังมีหลายจุดที่น่าจะต้องพัฒนา เช่น หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดแล้ว ความเป็นจริงผู้ป่วยสามารถกลับไปรับยาที่ศูนย์ใกล้บ้านได้แต่บางครั้งพบว่าผู้ป่วยไม่ยอมกลับ ซึ่งทำให้เกิดภาระงานที่มากขึ้นในโรงพยาบาล จนเกิดผลกระทบต่อการดูแลผู้ป่วย และเป็นสาเหตุที่แม้จะมีการรับบุคลากรเพิ่มเข้ามามากขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ผศ.พญ.จารุวรรณ เสนอว่า ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจว่า หลังจากการรักษาและพูดคุยกับแพทย์แล้ว เมื่อมีการแนะนำให้ผู้ป่วยไปรักษาตัวต่อที่ศูนย์มะเร็งใกล้บ้าน ผู้ป่วยก็ควรกลับไปตามคำแนะนำ เนื่องจากปัจจุบัน มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทยได้มีความพยายามผลิตบุคลากรเพื่อออกไปดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์กลับพบว่าผู้ป่วยยังคงมีการเข้าไปรักษาที่ส่วนกลางค่อนข้างมาก

พล.ท.รศ.นพ.วิชัย วาสนสิริ ประธานชมรมศัลยแพทย์มะเร็งประเทศไทย กล่าวว่า หาก สปสช.ต้องการพัฒนาให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายมากขึ้น ควรลงทุนทางด้านศัลยกรรมมากขึ้น แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการกล่าวถึงค่าใช้จ่ายด้านศัลยกรรมมากนัก อีกทั้งในประเทศไทยมีศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็งที่มีใบรับรองเพียง 100 รายเศษ และมีกำลังผลิตเพียง 8-10 รายต่อปี อีกทั้งเมื่อบอกว่ามะเร็งรักษาทุกที่ หากเป็นประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัด อาจจะไปหน่วยบริการใกล้บ้าน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยอยากจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง ก็มักจะไปที่โรงเรียนแพทย์ที่คิดว่าดีสำหรับเขา ทำให้ผู้ป่วยกระจุกตัวแทนที่จะมีศักยภาพดูแลผู้ป่วยมากขึ้น กลายเป็นคิวรักษายาวขึ้น ส่งผลต่อการรักษา

พญ.ปฐมพร ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้แทนสมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของนโยบายนี้คือ อยากลดเวลารอคอยในหน่วยบริการที่คิวยาว ไปสู่หน่วยบริการที่คิวสั้น และช่วยผู้ป่วยที่รักษาข้ามเขตไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ซึ่งจะมีโปรแกรมที่ทำงานร่วมกัน 3 ตัว คือ โปรแกรม Thai Cancer Base โปรแกรม The One และโปรแกรม Cancer Anywhere สำหรับประชาชน ทว่า ปัจจุบัน หน่วยบริการยังใช้ประโยชน์จากโปรแกรมไม่ครบถ้วนตามแผนที่วางไว้ ถ้าโรงพยาบาลใช้โปรแกรมเหล่านี้ได้คล่อง จะช่วยบอกผู้ป่วยได้ว่าคิวที่โรงพยาบาลไหนสั้นกว่า เช่น โรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช อาจบอกว่าคิวที่ รพ.ชลบุรี สั้นกว่า ถ้า รพ.ศิริราช รอ 6 เดือน ที่ รพ.ชลบุรี รอ 2 เดือน ผู้ป่วยจะเลือกไปที่ รพ.ชลบุรี เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเหลือประชาชนได้จริง

นพ.เพชร อลิสานันท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการเงิน รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และตัวแทนเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายนี้มีข้อดีคือ ผู้ป่วยเข้าถึงบริการง่ายขึ้น ส่วนปัญหาที่พบคือ การกระจายตัวของผู้ป่วยที่ไปกระจุกตัวในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และระบบ cancer nurse coordinator ทำให้ภาระงานของพยาบาลเพิ่มขึ้น ซึ่งหวังว่าในอนาคต สปสช.จะจัดการข้อมูลระบบสาธารณสุขให้ง่ายและเชื่อมโยงกันมากขึ้น

“คนไข้มะเร็งไม่ได้ป่วยเฉพาะโรคมะเร็ง ในโรงพยาบาลที่มีการรักษาครบถ้วน จึงเป็นเป้าหมายที่คนไข้ต้องการไป สปสช.ต้องเคลียร์ประเด็นนี้ให้ชัดว่า เขาจะได้รับการดูแลดีที่สุด และให้ความมั่นใจกับหน่วยบริการว่า เมื่อให้บริการแล้วจะสามารถเบิกค่าใช้จ่ายกลับมาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าทำ 2 ขานี้ได้ เชื่อว่าการดำเนินนโยบายไม่มีปัญหา” นพ.เพชร ระบุ

ปิดท้ายที่ ศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและชีวาภิบาล (เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม) กล่าวว่า ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนที่ต้องการรักษา จากประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย (palliative care) พบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากที่ใช้ชีวิตเพียงพอแล้ว เข้าใจสัจธรรม และเลือกที่จะรับการดูแลระยะสุดท้าย เพื่อเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้าน และผู้ป่วยแบบนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี อีกทั้งมีบางส่วนที่เข้ารับการรักษาแล้วทนความเจ็บปวดไม่ไหว ก็ขอรับบริการ palliative care ด้วยเช่นกัน

ฉะนั้น ถ้ามีโอกาสให้คำปรึกษา แนะนำกับครอบครัวตั้งแต่ทราบผลการวินิจฉัย นำเสนอคุณภาพชีวิต และการอยู่กับมะเร็งอย่างสันติ เชื่อว่าจะมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เลือกสิ่งนี้ทันที และจะช่วยลดจำนวนคนไข้ในระบบได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image