สธ.จับมือ สสส.-เครือข่าย ปั้น “นักสาธารณสุข” สื่อสารพิษภัยสุรา ลดจำนวนนักดื่ม

สธ.จับมือ สสส.-เครือข่าย ปั้น “นักสาธารณสุข” สื่อสารพิษภัยสุรา ลดจำนวนนักดื่ม

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค (สคอ.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาการสาธารณสุขชุมชน มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และหน่วยวิชาการเครือข่ายนักสาธารณสุขจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ (สปสส.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) พัฒนาศักยภาพการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริการป้องกันและบำบัดรักษา สำหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อพัฒนาศักยภาพการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการบริการป้องกันและบำบัดรักษาสำหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่กลุ่มวิชาชีพนักสาธารณสุขชุมชน เพื่อผลักดันให้เกิดการดำเนินงานในระดับพื้นที่

นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันมีการถ่ายโอนอำนาจการบริหาร รพ.สต. ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดย รพ.สต.เป็นหน่วยบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้ชิดชุมชน และบทบาทของวิชาชีพนักสาธารณสุขชุมชน สามารถให้บริการ ค้นหาคัดกรอง ให้คำแนะนำ/คำปรึกษาแบบสั้น ให้แก่ผู้มีปัญหาจากการดื่มแอลกอฮอล์ การสร้างแรงจูงใจเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ดื่ม และสามารถส่งต่อผู้มีปัญหาจากการดื่มและอาการถอนพิษสุรา ไปยังหน่วยบริการในระดับที่สูงขึ้น ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่เพื่อพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงได้

ADVERTISMENT

ขณะที่ นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการ สคอ. กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกรายงานข้อมูลปี 2565 พบการใช้แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคและการบาดเจ็บมากกว่า 200 กรณี โดยทั่วโลกมีคนเสียชีวิตปีละ 3 ล้านคน ซึ่งเป็นผลจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเป็นอันตราย ซึ่งคิดเป็น ร้อยละ 5.3 ของการเสียชีวิตทั้งหมด สำหรับสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยในปี 2564 สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ความชุกของการดื่มแอลกอฮอล์ในประชากรไทยเท่ากับร้อยละ 28 โดยเกือบ 3 ใน 10 ของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใน 12 เดือนที่ผ่านมา

“ดังนั้น การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงนับเป็นงานสาธารณสุขที่สำคัญเรื่องหนึ่งที่ต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหา ซึ่ง สคอ. เล็งเห็นถึงความสำคัญของวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนที่เป็นวิชาชีพที่ทำงานสุขภาพกับประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง จึงได้มีการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่นักสาธารณสุข เพื่อผลักดันให้เกิดการดำเนินงานในระดับพื้นที่” นพ.นิพนธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า พื้นที่ใดในประเทศไทยมีอัตราการดื่มแอลกอฮอล์สูงสุด นพ.นิพนธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันจากการสำรวจพบว่า พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ของประเทศไทย มีอัตรการดื่มสูงที่สุด โดยภาคใต้จะมีอัตราการดื่มน้อย โดยเฉพาะ จ.ปัตตานี ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับศาสนาด้วย

เมื่อถามต่อว่า แนวคิดการให้สุราพื้นบ้าน เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน จะเกิดผลกระทบต่องานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร นพ.นิพนธ์ กล่าวว่า สำหรับแนวคิดสุราก้าวหน้า จะทำให้เกิดการบริโภคในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งจะเกิดผลกระทบภายหลัง ซึ่งหากไปดูจะพบว่า สุราชุมชนหลายพื้นที่จดทะเบียนแล้ว เพียงแต่โฆษณาไม่ได้ ฉะนั้นความสำคัญคือ การโฆษณา ที่จะส่งผลให้เกิดการบริโภคมากขึ้นและผู้ป่วยก็จะเพิ่มขึ้นตาม มีข้อมูลชัดในประเทศรัสเซีย มีบทเรียนจากการรณรงค์ให้วอดก้าเป็นผลิตภัณฑ์ชาติ แต่สุดท้ายก็พบว่า เกิดปัญหาทางสุขภาพตามมา จึงรณรงค์เรื่องปัญหามากกว่า

“ดังนั้น แม้จะขายได้ แต่ก็กลายเป็นผลกระทบด้านสุขภาพตามมา เป็นภาระค่าใช้จ่ายตามมา ฉะนั้น ต้องอาศัยกลไกลท้องถิ่น กลไกทางวิชาชีพเข้ามาช่วยมาดูแล เพื่อลดผลกระทบระยะยาว” นพ.นิพนธ์ กล่าว

ด้าน นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เกิดปัญหาทั้งทางด้านสาธารณสุขและสังคม ผลสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบสถานการณ์การดื่มของคนไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น มีผู้ที่เคยดื่มหนักในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา 5.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ซึ่งมีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอดจากร้อยละ 14 ในปี 2557 แต่พบว่า นักดื่มหน้าใหม่ช่วงอายุ 15-19 ปี มากถึงร้อยละ 30.8 ช่วงอายุ 20-24 ปี ร้อยละ 53.3 ที่สำคัญ พบนักดื่มเพศหญิงเพิ่มขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบจากปี 2560 สถานการณ์นี้ส่งผลให้ต้องเร่งหามาตรการควบคุมป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ โดย สสส. และภาคีเครือข่าย จะเร่งสร้างความตระหนักรู้เรื่องโทษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ประชาชน ดำเนินงานคู่ขนานกับการคัดกรองผู้ที่มีปัญหาจากการดื่ม เพื่อให้คำแนะนำ ปรึกษาการเลิกดื่ม ตลอดจนการบำบัดรักษาและฟื้นฟู ทั้งนี้ การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินงานเชิงรุกในการส่งเสริมศักยภาพของนักสาธารณสุขชุมชนให้สามารถป้องกันและบำบัดผู้มีปัญหาสุราในชุมชนทั่วประเทศ

นายวศิน พิพัฒนฉัตร หน่วยวิชาการเครือข่ายนักสาธารณสุขจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยความร่วมมือจากสภาการสาธารณสุขชุมชน มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี สสส. และ สปสส. ให้กับนักสาธารณสุข ซึ่งเป็นสมาชิกสภาการสาธารณสุขชุมชน และผู้ประกอบวิชาชีพ การสาธารณสุขชุมชนที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 5 รุ่น รุ่นละ 2,500 คน ให้มีองค์ความรู้ พัฒนาต่อยอดได้และเพิ่มศักยภาพในการทำงานด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพื้นที่ ทำงานสอดประสานร่วมกัน ขับเคลื่อนขบวนการสร้างเสริมสุขภาพที่ทำให้ทุกคนในสังคมไทยมีสุขภาพดี สังคมพร้อมทั้งให้บริการวิชาการแก่สังคม และชุมชนอย่างทั่วถึง สอดคล้องไปกับการขับเคลื่อนงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551