กทม.สั่งพักราชการ! ‘ช่างโยธารับสินบน’ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ ลั่น แทนที่เกษียณจะได้พัก กลับต้องเป็นนักโทษ

กทม.สั่งพักราชการ! ‘ช่างโยธารับสินบน’ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ ลั่น คนทุจริตส่วนมาก วัย 50 แทนที่เกษียณจะได้พัก กลับต้องเป็นนักโทษ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 กันยายน ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) และ พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตรสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม. แถลงข่าวภายหลังกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เข้าจับกุม นายวิโรจน์ อิริยะโพธิ์งาม อายุ 59 ปี ตำแหน่งนายช่างโยธาอาวุโส สำนักงานเขตลาดกระบัง ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามมาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157 พร้อมของกลางเงินสด 5 หมื่นบาท ได้ห้องทำงานฝ่ายโยธา สำนักงานเขตลาดกระบัง เมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 ที่ผ่านมา

นายเฉลิมพลกล่าวว่า ขณะนี้ นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัด กทม. ได้ลงนามคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 2748/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 2749/2566 ให้ข้าราชการรายดังกล่าวช่วยราชการ ที่กองแผนงานและสาธารณูปโภค สำนักการโยธา (สนย.) ซึ่งเป็นกองที่ไม่ได้สัมผัสกับประชาชน อีกทั้งในวันนี้ ปลัด กทม.จะลงนามคำสั่งพักราชการข้าราชการรายดังกล่าว ตามข้อ 85 กฎ ก.ก. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2565 โดยกำหนดเวลาไม่เกิน 120 วัน และยืดระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน

Advertisement

นายเฉลิมพลกล่าวต่อว่า ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกรุงเทพมหานคร (ศปท.กทม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายโยธา 40 เรื่อง แบ่งเป็นเรียกรับสินบนการขอใบอนุญาต 12 เรื่อง ใน 10 เขต, การก่อสร้างต่อเติมรื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมาย แต่หน่วยงานดำเนินการ ล่าช้า 7 เรื่อง, ปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลที่สาธารณะ 2 เรื่อง, การบริหารงานบุคคล การแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ได้บรรจุ 1 เรื่อง, การนำทรัพย์สินทางราชการไปใช้ส่วนตัว 1 เรื่อง และ เรื่องอื่นๆ เช่น ปรับปรุงพื้นถนนบริเวณทางลอดอุโมงค์ล่าช้าป้ายขนาดใหญ่ยื่นนอกอาคาร, การลงชื่อเข้างานแทนกัน และทอดทิ้งหน้าที่ราชการ เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสืบข้อเท็จจริง หากเข้าข่ายทุจริต จึงจะส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) หากไม่เข้าข่ายทุจริต แต่มีความผิดทางวินัย จึงจะเสนอผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กรุงเทพมหานคร (ศปท.กทม.) ดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ จากข้อมูลแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านทราฟฟี่ฟองดูว์ ตั้งแต่ ก.พ.-ส.ค.66 มีจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 206 เรื่อง เกี่ยวกับเรื่องของโยธา 40 เรื่อง, เทศกิจ 39 เรื่อง, รักษาความสะอาด 36 เรื่อง และเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ทราบสายงานอีก 32 เรื่อง ซึ่งจะเร่งสืบข้อเท็จจริง ส่งเรื่องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

Advertisement

นายเฉลิมพลกล่าวต่อว่า สำหรับนายวิโรจน์ เดิมทีอยู่เขตห้วยขวาง จากนั้นในปี 2549-2554 ได้ย้ายมาเขตลาดกระบัง พอมาปี 2560 ได้ย้ายกลับมาอยู่เขตห้วยขวาง ปี 2561 ย้ายไปเขตลาดกระบังอีก พอปี 2564 ย้ายไปเขตวังทองหลาง ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน กลับมาอยู่เขตลาดกระบัง ในตำแหน่งนายช่างโยธาอาวุโส

“กรณีที่มีเจ้าหน้าที่บริหารงานที่เดิมเป็นเวลานานๆ หรือย้ายไปแล้วกลับมา ดังนั้นจึงจะเสนอผู้บริหารพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหา ป้องกัน การทุจริตในลักษณะนี้ โดยเฉพาะการอยู่นาน และโยกย้าย รวมถึงระบบการขออนุญาต ที่ต้องมีการปรับแก้ไข ไม่ให้ใช้ดุลยพินิจ และเจอกับผู้ขออนุญาตเพียงสองคนต้องมีทีมเฉพาะในการดูแลเรื่องการเซ็นใบอนุญาตด้วย” นายเฉลิมพลกล่าว

ด้าน พล.ต.อ.อดิศร์กล่าวว่า ประชาชนมีการร้องเรียนไปทาง ป.ป.ท.ผ่านโทรสายด่วน 1206 และช่องทางหน่วยงานปราบปรามทุจริตแห่งอื่น ซึ่งทาง กทม.ก็มีสายด่วน 1555 แต่ประชาชนไม่เชื่อใจในการติดต่อทางนี้ อย่างไรก็ตาม กทม.ก็มีการปราบปรามทุจริตอย่างจริงจัง นอกจากนี้ กทม.ยังมีทราฟฟี่ฟองดูว์ในการรับแจ้งเรื่องราวทุจริต เป็นระบบปกปิกข้อมูลข้อมูลของผู้แจ้ง ซึ่งจะส่งเข้า ศปท.กทม.โดยตรง

“อย่ากลัวที่จะให้ชื่อ และเบอร์โทรติดต่อกลับ เพราะ กทม.มีการดำเนินการปราบปรามทุจริตอย่างรวดเร็ว ไม่มีการช่วยเหลือลูบหน้าปะจมูกกัน” พล.ต.อ.อดิศร์กล่าว

พล.ต.อ.อดิศร์กล่าวว่า ทั้งนี้ได้มีการเสนอกับนายเฉลิมพล ผ่านไปยังการประชุมหัวหน้าหน่วยงาน ในการเปลี่ยนกฎระเบียบการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยากให้มีการรับผิดชอบตามลำดับชั้น หรือการเอาผิดกับผู้บังคับบัญชา ที่ปล่อยให้มีการปล่อยปละละเลย

“หัวหน้าฝ่ายโยธามีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ทราบขั้นตอนให้บริการประชาชนหรือไม่ ทำไมถึงใช้ระยะเวลาการอนุญาตเนิ่นนาน มีการแนะนำประชาชนอย่างไร เรื่องพวกนี้ต้องมีการบันทึกเลขรับหนังสือ และต้องตอบกลับหนังสือให้ประชาชนได้ทราบถึงเหตุผล ถ้าช้าจากความบกพร่องให้ดำเนินการทางวินัย ถ้าช้าจากการเรียกรับผลประโยชน์ให้ดำเนินคดีอาญา สิ่งเหล่านี้ต้องให้ผู้บังคับบัญชาระดับ ผอ.เขตต้องเข้ามาสอดส่องดูแล” พล.ต.อ.อดิศร์กล่าว

พล.ต.อ.อดิศร์กล่าวว่า อยากให้มีการบันทึกหนังสือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ ผอ.เขตได้ตรวจสอบว่าประชาชนมีการขออนุญาตอะไรบ้าง เมื่อเวลาครบกำหนดระบบจะมีการแจ้งเตือนว่ามีการเซ็นอนุญาต ถ้ามีความล่าช้าต้องมีการตรวจสอบในแต่ละฝ่าย ซึ่งจะปิดช่องทางการเรียกรับผลประโยชน์ได้

“ประมวลจริยธรรมมีการใช้ในราชการแล้ว ในเรื่องของครองตน ครองงาน ตัวเองใช้หลักคุณธรรมในการทำงานหรือไม่ มีหลักเกณฑ์หรือไม่ ยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลางหรือไม่” พล.ต.อ.อดิศร์กล่าว

พล.ต.อ.อดิศร์กล่าวว่า ข้อสังเกตผู้ที่ถูกดำเนินคดีทุจริตระยะหลังมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งใกล้วัยเกษียณ ซึ่งตรงข้ามกับชีวิตราชการ ที่จะต้องเตรียมพักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ใช่มาต่อสู้ดำเนินคดีหรือมาเป็นนักโทษ

อ่านข่าว :

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image