กรมแพทย์อัพเดตไกด์ไลน์ยารักษา “ไข้หวัดใหญ่” เน้นให้ “โอเซลทามิเวียร์” ก่อน “ฟาวิพิราเวียร์”

กรมแพทย์อัพเดตไกด์ไลน์ยารักษา “ไข้หวัดใหญ่” เน้นให้ “โอเซลทามิเวียร์” ก่อน “ฟาวิพิราเวียร์”

วันนี้ (3 ตุลาคม 2566) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เผยแพร่คำแนะนำการรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง วันที่ 2 ตุลาคม 2566 โดยร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ปรับปรุงเป็นครั้งที่ 4 โดยเน้นกลุ่มผู้ป่วยที่มีไข้มากกว่า 38 องศาเซลเซียส ร่วมกับไอ และหรือเจ็บคอ หรืออาจมีอาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดเมื่อย อาเจียน ท้องเสีย แบ่งเป็น

1.ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น สงสัยปอดอักเสบจากอาการ หรือ CXR, SpO2 at room air น้อยกว่าร้อยละ 95 ที่ต้องใช้ออกซิเจน, ซึมผิดปกติหรือมีอาการทางระบบประสาท, กินได้น้อยจนมีภาวะขาดน้ำ, มีภาวะแทรกซ้อนหรือมีอาการรุนแรงอื่นๆ, มีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาล ซึ่งแนะนำให้ยาต้านไวรัส เริ่มยาเร็วที่สุด พิจารณาให้ยาต้านแบคทีเรีย ถ้าสงสัยมีปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ให้การรักษาตามอาการและอื่นๆ ตามข้อบ่งชี้

2.กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

Advertisement

2.1 ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง ได้แก่ โรคอ้วน (BMI > 30 mg/kg2), หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดไม่เกิน 14 วัน, อายุมากกว่า 2 ปี หรือมากกว่า 60 ปี, ผู้ที่มีภาวะร่วมดังต่อไปนี้ มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตับ โรคไต เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น, โรคที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำหรือต้องใช้ยากดภูมิ, อายุน้อยกว่า 18 ปี ที่กำลังกินแอสไพริน (อาจเกิด Reye syndrome), กลุ่มโรคทางพันธุกรรมและเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า รวมทั้งโรคลมชัก แนะนำให้ยาต้านไวรัสเร็วที่สุด ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ให้พิจารณารับไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและอื่นๆ ตามข้อบ่งชี้

2.2 ผู้ป่วยที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง ให้รักษาตามอาการ อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส ถ้ามีอาการมาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ไม่ต้องให้ยาต้านแบคทีเรีย เว้นแต่มีข้อบ่งชี้อื่น เช่น อาการหูอักเสบ ไซนัสอักเสบ แนะนำวิธีการดูแลที่บ้านและให้หลีกเลี่ยงการเข้าชุมชน ให้สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างจากผู้อื่น และล้างมือก่อน หลังการสัมผัสบริเวณใบหน้า และเมื่อมีการปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ และแนะนำให้กลับมาตรวจหากไม่ดีขึ้นหลัง 48 ชั่วโมง (ชม.)

นอกจากนี้ ยังระบุถึงแนวทางการรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ว่า แบ่งเป็น 2 วิธีคือ 1.การรักษาแบบประคับประคอง และ 2.การรักษาเฉพาะโดยให้ยาต้านไวรัส ซึ่งยาต้านไวรัสอันดับแรก (First-line) คือ โอเซลทามิเวียร์ และยาอันดับรอง (Second-line) คือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ยาอันดับแรกได้ เฉพาะในกรณีที่เป็นไข้หวัดใหญ่อาการไม่รุนแรงเท่านั้น

Advertisement

การให้ยาต้านไวรัสเพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่ ผลการรักษาดีที่สุดเมื่อเริ่มยาได้เร็วภายใน 48 ชั่วโมงแรก อย่างไรก็ตาม ยังมีประโยชน์ในผู้ที่อาการรุนแรงหรือเสี่ยงสูง แม้จะเลย 48 ชั่วโมงไปแล้ว ให้ยาต้านไวรัสเฉพาะผู้ป่วยดังต่อไปนี้ 1.ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงต้องนอนโรงพยาบาล หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง 2.ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง และ 3.สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง อาจจะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสหากมีอาการมาไม่เกิน 48 ชั่วโมง (ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีอาการไม่รุนแรง และหายเองได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ยาต้านไวรัสทำให้อาการหายเร็วขึ้น)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในไกด์ไลน์ดังกล่าวยังเน้นย้ำว่า การใช้ยาโอเซลทามิเวียร์ ขนาดสูง 2 เท่าของปกติ พบว่า ไม่มีประสิทธิผลดีไปกว่าขนาดปกติที่แนะนำ โดยขนาดยาโอเซลทามิเวียร์ที่แนะนำ คือ ให้ 5 วัน โดยพิจารณาตามน้ำหนัก/อายุ ดังนี้ เด็กอายุ <3 เดือน ขนาดยา 12 มิลลิกรัม (มก.) วันละ 2 ครั้ง, อายุ 3-5 เดือน ขนาดยา 20 มก.วันละ 2 ครั้ง, อายุ 6-11 เดือน ขนาดยา 25 มก.วันละ 2 ครั้ง , เด็กอายุ >1 ปี หรือ <15 กิโลกรัม (กก.) ขนาดยา 30 มก. วันละ 2 ครั้ง, เด็กน้ำหนัก >15-23 กก. ขนายา 45 มก.วันละ 2 ครั้ง, เด็กน้ำหนัก >23-40 กก. ขนาดยา 60 มก.วันละ 2 ครั้ง, เด็กน้ำหนัก >40 กก. ขนาดยา 75 มก.วันละ 2 ครั้ง และผู้ใหญ่ ขนาดยา 75 มก.วันละ 2 ครั้ง

ส่วนการใช้ยาระยะนานกว่า 5 วัน ให้พิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมตามดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล ขณะที่การใช้ยาเพื่อป้องกัน (Prophylaxis) ย้ำว่า ไม่แนะนำให้ยาต้านไวรัสเพื่อการป้องกันไม่ว่าจะเป็นก่อนการสัมผัส (Pre-Exposure) หรือหลังการสัมผัส (Post-Exposure) สำหรับผู้สัมผัสโรคแนะนำให้สังเกตอาการและรีบเริ่มยาเร็วที่สุดเมื่อมีอาการ

สำหรับการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 200 มก./เม็ด วันที่ 1 ใช้ขนาด 1,600 มก. (8 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง กรณีในเด็กใช้ขนาด 70 มก./กก./วัน วันละ 2 ครั้ง ส่วนวันที่ 2-5 ขนาด 600 มก. (3 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง กรณีในเด็ก ใช้ขนาด 30 มก./กก./วัน วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการที่ไม่สบายของผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยได้ค่อนข้างดี แบ่งหรือบดเม็ดยาและให้ทาง NG Tube ได้

โดยข้อควรระวังหรือผลข้างเคียง คือ มีโอกาสเกิด teratogenic effect (ผลกระทบที่ทำให้ทารกอวัยวะพิการ) จึงไม่ควรให้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร อาจเพิ่มระดับ Uric Acid เมื่อใช้ร่วมกับ Pyrazinamide ระวัง Hypoglycemia เมื่อใช้ร่วมกับ Repaglinide หรือ Pioglitazone ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังไม่ต้องปรับขนาดยา ผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับบกพร่องในระดับปานกลางถึงรุนแรง ให้ปรับขนาดยาเหลือ 800 มก.วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 วัน แล้วตามด้วย 400 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 วัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image