รมว.พิพัฒน์ สั่ง กพร.ปั้น “เชฟอาหารไทย” ป้อนตลาดแรงงานภาคการท่องเที่ยว

รมว.พิพัฒน์ สั่ง กพร.ปั้น “เชฟอาหารไทย” ป้อนตลาดแรงงานภาคการท่องเที่ยว

วันนี้ (6 ตุลาคม 2566) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ระหว่างร่วมสาธิตการทำอาหารไทยในเมนู “ต้มข่าไก่” ในงานมอบนโยบายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้สั่งการให้ กพร.เร่งดำเนินการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงาน โดยเฉพาะการผลิตแรงงานป้อนภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีหลายตำแหน่งและหลายอัตรา

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีความต้องการปีละกว่า 400,000 คน ซึ่งทักษะด้านอาหารไทยในตำแหน่งเชฟอาหารไทย หรือ กุ๊ก ตามร้านอาหาร เป็นตำแหน่งงานที่ผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคาร หรือโรงแรม ที่พัก ตามแหล่งท่องเที่ยว มีความต้องการผู้ที่มีทักษะการทำอาหารเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว และปัจจุบันเริ่มมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้ง ผู้ที่มีทักษะในการทำอาหารไทย มีโอกาสในการประกอบอาชีพทั้งส่วนตัวหรือเข้าทำงานในสถานประกอบกิจการ

Advertisement

“เมื่อพูดถึงด้านรายได้ของเชฟมีหลายระดับ เชฟในประเทศไทย จะมีรายได้เริ่มต้นตั้งแต่ 18,000 – 32,000 บาทต่อเดือน เชฟที่ทำงานในโรงแรมระดับ 3-4 ดาว มีรายได้ประมาณ 70,000 – 90,000 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว จะมีรายได้ถึงหลักแสนบาทขึ้นไป จึงให้ความสำคัญและให้เร่งผลิตแรงงานในด้านดังกล่าวป้อนภาคการท่องเที่ยวให้มากขึ้น และย้ำว่าแรงงานต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน มีใบรับรองด้านฝีมือเพื่อยืนยันความสามารถเพื่อรับค่าจ้างอย่างเหมาะสมตามฝีมือด้วย” นายพิพัฒน์ กล่าว

ด้าน น.ส.บุปผา เรืองสุด อธิบดี กพร. กล่าวว่า ในการพัฒนาทักษะแรงงานด้านการท่องเที่ยวนั้น ในปี 2567 มีเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรภาคการท่องเที่ยวปีละกว่า 30,000 คน กระจายเป้าหมายไปยังหน่วยฝึกทั่วประเทศทั้ง 76 จังหวัด และในกรุงเทพมหานคร หลักสูตรการฝึกด้านอาหาร เช่น การประกอบอาหารไทยประยุกต์ การประกอบอาหารไทยฮาลาล การประกอบอาหารว่างเพื่อส่งเสริมสุขภาพและการบริการ อาหารไทยสำหรับร้านคาเฟ่ เป็นต้น

“สำหรับเมนูต้มข่าไก่นั้น เป็น 1 ในเมนูที่ กพร.จัดฝึกอบรมและทดสอบด้านอาหารไทย นอกจากนี้ กพร.ยังส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการและสถาบันการศึกษาที่มีความพร้อม ร่วมเป็นผู้ดำเนินการจัดอบรม หรือขออนุญาตเป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติด้วย ปัจจุบันมีศูนย์ทดสอบฯ สาขาผู้ประกอบอาหารไทย ทั่วประเทศรวม 71 แห่ง อยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลมีทั้งหมด 27 แห่ง ภูมิภาคต่างๆ 44 แห่ง” น.ส.บุปผา กล่าวและว่า การฝึกอบรมให้มีทักษะด้านอาหารไทยเพื่อประกอบอาชีพในตำแหน่งเชฟหรือกุ๊ก จึงเป็นตำแหน่งที่น่าสนใจที่สามารถสร้างรายได้สูงแก่ผู้ที่ทำงานในด้านนี้ กพร.จึงมอบหมายให้หน่วยฝึกเร่งดำเนินการตามนโยบายและข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมกับประสานงานกับกรมการจัดหางาน (กกจ.) แจ้งตำแหน่งงานว่าง หรือข้อมูลที่สถานประกอบกิจการมีความประสงค์รับคนเข้าทำงานในตำแหน่งดังกล่าวเพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ มีงานทำต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image