‘ไข้หวัดใหญ’ ระบาดต่อเนื่อง 10 จว.ผู้ป่วยพุ่ง ‘ชลน่าน’ สั่งเร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง ขยายอายุเด็ก
จากสถานการณ์การระบาดของ โรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะ สายพันธุ์ A H1N1, H3N2 และ สายพันธุ์ B ที่ระบาดรุนแรงในหลายจังหวัด ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-วันที่ 30 กันยายน 2566 มากถึง 248,322 ราย อัตราป่วย 375.50 ต่อประชากรแสนคน มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ราย (อัตราป่วยตาย 3.2 รายต่อผู้ป่วยแสนราย) เฉพาะในเดือนกันยายนที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 109,556 ราย นั้น
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อรับมือสถานการณ์การระบาดรุนแรง โดยเฉพาะใน 10 จังหวัด ที่มีรายงานผู้ป่วยสูงที่สุด ได้แก่ ระยอง ภูเก็ต กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ยโสธร พัทลุง อุบลราชธานี ลำพูน นครปฐม และ จันทบุรี โดยให้ สธ. ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งจัดหาและดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยเน้นกลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และเพิ่มเติม คือ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากกลุ่มนี้หากได้รับเชื้อจะมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ
รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองจำนวนมากให้ สธ.เข้าไปดูแลการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งพบว่าสิทธิในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับเด็กในปัจจุบัน คือ อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาเรื่องการขยายอายุการฉีดวัคซีนในเด็กไปถึง 5 ปี เพื่อจะได้สกัดกั้นการระบาดได้มากขึ้น รวมทั้งอาจขยายระยะเวลาการรณรงค์ฉีดวัคซีนจากเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมของทุกปี ให้ยาวไปถึงเดือนพฤศจิกายน
“เนื่องจากในปีนี้ สถานการณ์การระบาดค่อนข้างรุนแรง และฤดูฝนยาวนานขึ้น ส่วนที่มีข่าวว่าขาดแคลนยารักษาไข้หวัดใหญ่นั้น ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งบรรจุยาฟาวิพิราเวียร์ไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้เป็นทางเลือกในการใช้เป็นยารักษาไข้หวัดใหญ่ภายหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว” นพ.ชลน่านกล่าว
