“ชลน่าน” ถกเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาฯ ยันไม่มีแนวคิดคุม “ช่อดอก” เร่งออก กม.รองรับ
วันนี้ (12 ตุลาคม 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย พร้อมด้วยตัวแทน เข้ายื่นหนังสือถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. เรื่อง ขอให้กำหนดกฎหมายกัญชาจากข้อมูลรอบด้าน โดย นพ.ชลน่าน เข้ารับหนังสือด้วยตนเอง โดยหลังจากรับหนังสือได้มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวภายในห้องรับรอง
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาได้นำเสนอข้อมูลแก่ สธ. ย้ำถึงประโยชน์ของกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งไม่ได้ต่อต้านใดๆ โดยมีข้อเสนอ 2 เรื่อง คือ 1.สถานะของกัญชา ขอให้ชัดเจนว่า เป็นยาเสพติดหรือไม่ 2.เมื่อมีสถานะชัดแล้ว เรื่องของการควบคุม หรือกำกับดูแลในการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ขอให้ชัดเจน นอกนั้นประเด็นอื่นๆ เช่น การอนุมัติ การนำมาใช้ การสวมสิทธิ เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการหารือว่าจะให้บางส่วนของกัญชาเป็นยาเสพติดหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สำหรับกัญชาจะเป็นยาเสพติดเมื่อเป็นสารสกัด ต้องมีค่าทีเอชซี (THC) มากกว่า 0.2 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ถึงจะเป็นยาเสพติด นอกเหนือจากนี้ไม่ว่าต้น ราก ดอก ใบ ไม่ได้ถูกกำหนดจึงไม่ถือว่าเป็น ส่วนจะกำหนดอย่างอื่นว่าจะเป็นยาเสพติดหรือไม่นั้น ยังอยู่ในการพิจารณาว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ ทั้งด้านมิติสุขภาพ มิติเชิงสังคม การบังคับใช้กฎหมายต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
“ไม่มีข้อเสนอว่า จะต้องเอาช่อดอกไปเป็นยาเสพติด เน้นย้ำว่า ไม่ได้มีข้อสรุป ขีดเส้นใต้เลยว่า ไม่มีการนำช่อดอกกลับเป็นยาเสพติด ซึ่งขณะนี้คณะทำงานยกร่างกฎหมายเราทำใกล้เสร็จแล้ว เมื่อเสร็จแล้วจะเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมารับฟังความคิดเห็นในการช่วยดูร่างกฎหมายกันก่อนจะเสนอร่างกฎหมายต่อไป” นพ.ชลน่าน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนังสือของเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เสนอ 2 ประเด็น ดังนี้ 1.ข้อเท็จจริงของกัญชาถูกนําเสนอจากด้านเดียวคือด้านแห่งความน่ากลัว โดยเฉพาะจากกลุ่มแพทย์ แผนปัจจุบันจํานวนมากที่มีอคติดต่อกัญชา การเลือกพูดข้อเท็จจริงด้านเดียวที่ตรงกับความรู้สึกของตนนั้นจะ นําไปสู่การขยายตัวของความจริงด้านเดียวจนกลายเป็นกระแสแห่งความกลัวจนห่างไกลจากข้อเท็จจริง 2.กลไกรัฐโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการ สธ.คนปัจจุบัน กําลังดําเนินการสานต่อด้วยการ นําข้อเท็จจริงด้านเดียวมากําหนดกลไกกัญชา ทั้งการจะนําบางส่วนกลับไปเป็นยาเสพติด ทั้งการจะตัดสิทธิ ของประชาชนในการปลูกกัญชา สิ่งเหล่านี้จะนําไปสู่ความผิดเพี้ยน ทําลายข้อดีของกัญชาในขณะที่ข้อเสียก็ไม่ สามารถจัดการได้ เพราะวางกลไกจากความจริงด้านเดียว
สิ่งที่ สธ.พึงปฏิบัติต่อกัญชาคือกลับมาแก้ปัญหาที่รากฐาน สร้างความเข้าใจต่อสังคม ให้กระจ่างชัด เพื่อให้สังคมมีข้อมูลชุดเดียวกัน แล้วร่วมกันกําหนดกลไกการควบคุมกัญชาจากข้อเท็จจริงนั้น เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยมีข้อเรียกร้องที่กระทรวงต้องปฏิบัติทั้งในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง และกําลังเป็นหน่วยงานหลักในการกําหนดกลไกควบคุมกัญชา
1.ขอให้ สธ.ตั้งคณะทํางานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อจัดทําข้อเท็จจริงเปรียบเทียบสิ่งที่ ก่อให้เกิดการเสพติด 4 ชนิด คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ กาแฟ กัญชา โดยเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย คุณประโยชน์ต่อสุขภาพให้ชัดเจน ทั้งนี้ การเปรียบเทียบกับ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ กาแฟ จะทําให้ประชาชนเข้าใจชัดเจนเนื่องจากสิ่งที่ก่อให้เกิดการเสพติดทั้ง 3 ประการ อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมานาน เมื่อจัดทําข้อเปรียบเทียบอย่างชัดเจนแล้ว สังคมไทยจะได้นําข้อมูลมาเปรียบเทียบเพื่อพิจารณาว่า สิ่งใดควรควบคุมด้วยกฎหมายยาเสพติด โดยขอให้กระทรวงดําเนินการภายใน 1 เดือน
2.ในการกําหนดกลไกควบคุมกัญชา ขอให้ สธ.ตั้งคณะทํางานเพื่อรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับกัญชาจากชุดประสบการณ์ที่หลากหลายและครอบคลุม ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์ แผนจีน หมอพื้นบ้าน ประชาชนผู้ใช้กัญชาในการรักษา บทเรียนและงานวิจัยจากต่างประเทศ เพื่อนําข้อมูล เหล่านี้มาทําการสังเคราะห์ในการใช้กําหนดกลไกควบคุมกัญชา นําข้อดีมาใช้และควบคุมข้อเสียได้อย่างมี ประสิทธิภาพ หากกระทรวงไม่กําหนดกลไกควบคุมจากงานศึกษา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐมนตรีว่าการ สธ.พยายามหลีกเลี่ยงหลักการที่ถูกต้องจากการศึกษาและชุดประสบการณ์อันยาวนานของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกัญชาเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชา ไทยยืนยันว่ากัญชาคือ ความมั่นคงทางยาของประชาชนในระดับครัวเรือน การควบคุมกัญชาต้องกําหนดตาม ข้อเท็จจริง การปลูกกัญชาต้องเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนภายใต้กลไกควบคุมที่เหมาะสม