ชัชชาติเอะใจ ตรวจควันดำคร่ำเคร่ง ‘ฝุ่นไม่ลด’ เทสต์จนรู้ชัด – บอก ‘ข่าวดี’ ไม่บังคับแต่ต้องรีบ
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ที่ศูนย์ฝึกอาชีพทุ่งครุ กรุงเทพฯ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริการด้านความยั่งยืนกรุงเทพมหานคร เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทดสอบควันดำจากเครื่องยนต์ดีเซล โดยมี นายสมหวัง เจียสินเจริญ ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (อาทร สังขะวัฒนะ) ร่วมอธิบายผลการทดสอบ
นายชัชชาติกล่าวว่า วันนี้มาไลฟ์สดเพื่อให้เห็นว่า เราจะช่วยกันเรื่อง PM2.5 ได้อย่างไร เพราะ PM2.5 ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่ง กทม.ก็ดำเนินการอยู่เต็มที่ สถานการณ์ตอนนี้มี 3 ส่วนหลักในการเกิดฝุ่น คือ 1.สภาพอากาศปิด ที่มีส่วนในเรื่องกระจายความหนาแน่นของฝุ่น ซึ่งแก้ไขไม่ได้ในส่วนนี้เพราะธรรมชาติกำหนด 2.รถยนต์และเครื่องยนต์ อย่างรถเก๋ง ซึ่งมี และ 3.การเผาชีวมวล และอุตสาหกรรม
ด้าน นายพรพรหมเผยว่า รถยนต์ใน กทม. ยูโร 3 หรือต่ำกว่า ใน กทม. มีจดทะเบียนอยู่ประมาณ 270,000 คัน และรถบรรทุก 140,000 คัน รวมเป็นประมาณ 400,000 คัน ส่วนรถทั้งหมดที่อายุเกิน 7 ปี มี 20 กว่าล้านคันทั้งประเทศ ในส่วนของ กทม.มีประมาณ 6 ล้านคัน
นายชัชชาติชี้ว่า รถ 6 ล้านคัน ถือว่ามีจำนวนมาก ถ้าแต่ละคนปล่อยคนละนิดก็ทำให้เกิด PM2.5 ได้ การปล่อยควันจากรถยนต์น่าจะเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งโรงงานยังไม่เยอะ โรงงานประมาณ 5,000 แห่งที่ปล่อยควัน มีการคอยมอนิเตอร์ตลอด รวมถึงเรื่องการเผาชีวมวล แต่ถ้ามีทั้ง 3 เด้ง PM2.5 ก็จะหนัก เราจึงไล่ตรวจควันดำ ซึ่งปีที่แล้ว กทม.ตรวจควันดำไป 200,000 คัน
เมื่อนายชัชชาติสอบถามนายสมหวังว่ารถที่ผ่านการตรวจควันดำ มีส่วนทำให้เกิด PM2.5 ด้วยหรือไม่?
นายสมหวังชี้ว่า มีส่วนสร้าง PM2.5 เช่นกัน โดยเฉพาะในเครื่องยนต์ที่ไม่ผ่านการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม แม้จะเห็นว่าไม่ส่งควันดำก็ตาม ซึ่งถ้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง จะช่วยให้ฝุ่นลดลง 15-20%
ด้าน นายชัชชาติกล่าวว่า ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองก็จะดีขึ้น อย่างน้อยต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ลำพัง กทม.ไปออกกฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องความสมัครใจการดูแล อย่างน้อย 6 ล้านคัน ถ้าทุกคนปล่อย ฝุ่นก็จะสะสม
“กทม.ก็จะมีมาตรการ ร่วมกับกระทรวงพลังงาน วันที่ 18 ธ.ค.นี้ จะมีการแถลงร่วม ให้เกิดแรงจูงใจในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองในราคาที่ถูก เพราะเชื่อว่าพี่น้องหลายคนที่ใช้รถดีเซล รถกระบะในการทำมาหากิน ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี เลื่อนการเปลี่ยนไปก่อนเพื่อประหยัดชั่วคราว แต่ว่ามันไม่ได้เพราะทำให้เกิดฝุ่น เราจึงจะมีมาตรการลดราคาให้ ไปคุยกับบริษัทรถยนต์และบริษัทน้ำมันต่างๆ ทั้ง ปตท. เชลล์ ทุกบริษัท เชิญประชุมไปแล้วหนหนึ่ง ตั้งเป้าเปลี่ยให้ได้ 300,000 คัน จะประกาศวันที่ 18 ธ.ค.นี้ พวกเราก็รีบไปเปลี่ยน แต่มีจำกัดเวลาแค่ 2 เดือน หลังจากนี้ไม่ลดแล้ว เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เรารีบมาเปลี่ยน” นายชัชชาติกล่าว
นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ข่าวดีอีกอย่างคือ ต้นมกราคม 2567 น้ำมันดีเซลทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นมาตรฐานยูโร 5
“ดังนั้น B7 B10 B20 จะไม่มีแล้ว เหลือแค่ ยูโร 5 เชื่อว่าจะลดฝุ่นได้ประมาณ 15% ต้องร่วมมือร่วมใจ ใช้รถยนต์ให้หน่อยลง ดูแลรักษาเครื่อง”
จากนั้น นายสมหวังทำการทดสอบวัดปริมาณการปล่อยฝุ่น โดยเทียบระหว่างเครื่องยนต์ที่ยังไม่ ‘เปลี่ยนไส้กรอง น้ำมันหล่อลื่น และกรองน้ำมันหล่อลื่น’ กับเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนทั้ง 3 อย่างแล้ว โดยเมื่อวัดปริมาณฝุ่น PM2.5 พบว่าปริมาณฝุ่นลดลงอย่างชัดเจน
นายชัชชาติสอบถามว่า ต้นทุนในการเปลี่ยนทั้ง 3 อย่างอยู่ที่เท่าไหร่ พบว่าอยู่ที่ประมาณ 1,000 กว่าบาท
“ก็จะพยายามลดตรงนี้ให้ถูกลงเพื่อให้ชาวบ้านเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น ปัจจุบัน 1,000 กว่าบาทถือว่ามีค่า อย่างน้อยทุกคนมีส่วนร่วมกันดูแลเครื่องยนต์ตัวเอง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างน้อยรถเราก็ต้องอากาศเสียให้ลดลง กทม.เองไปบังคับไม่ได้ บอกไม่ให้เครื่องยนต์ดีเซล เกิน 7 ปี วิ่งใน กทม. มันก็เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจอีก เพราะผู้มีรายได้น้อยส่วนมากใช้รถแบบนี้อยู่” นายชัชชาติกล่าว
ในตอนหนึ่ง นายชัชชาติกล่าวว่า เป็นการตรวจสอบแบบบ้านๆ ไม่ได้มีหลักวิชาการอะไร แต่ทำให้เห็นเลยว่ามีผลจริง
“ความจริงก็มาจากการเอ๊ะ ปีที่แล้ว โอโห! แล้วตรวจรถควันดำไป 200,000 คัน ตั้งตรวจหน้าดำคร่ำเคร่งทุกคน ลุยทุกวัน สงสารคนตรวจเลยอ่ะ จับได้ 2,000 คัน ทำไมฝุ่นมันไม่ลดลงเลย แสดงว่าไม่ใช่แค่รถควันดำที่ปล่อย PM2.5 รถที่ไม่ควันดำก็ปล่อย PM2.5 อยู่” นายชัชชาติชี้
อ่านข่าว : ชัชชาติเจอต้นตอ ‘รถติด’ เพราะไฟตั้งเวลา ปรับใหม่ระบบ Adaptive หลังคนร้องเรียนแยกศรีนุช
