ประกันสังคม จับมือ บัตรทอง รวมงบ 2 กองทุน ‘ส่งเสริมป้องกันโรคให้ผู้ประกันตน’

ประกันสังคม จับมือ บัตรทอง รวมงบ 2 กองทุน ‘ส่งเสริมป้องกันโรคให้ผู้ประกันตน’ ให้ครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่กระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง “การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม” ระหว่างสำนักงานประกันสังคม โดยนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดย นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยมีคณะผู้บริหารจากกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานประกันสังคม และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยาน

นพ.จเด็จกล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านมา พบว่าการรับบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในสัดส่วนของผู้ประกันตนอยู่ในอัตราไม่มาก สาเหตุจากการไม่รับรู้ในสิทธิรับบริการ การไม่รู้ข้อมูลสิทธิประโยชน์ การไม่รู้ช่องทางเข้ารับบริการ และผู้ประกันตนจำนวนมากไม่สะดวกเข้ารับบริการด้วยข้อจำกัดของเวลางาน เป็นต้น ดังนั้นเพื่อเป็นการร่วมดูแลสุขภาพผู้ประกันตนได้นำมาสู่ “การลงนามบันทึกความร่วมมือในวันนี้

“ด้วยความร่วมมือทั้ง 2 หน่วยงานที่จะดำเนินการร่วมกัน ได้แก่ การขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลในระบบประกันสังคมให้เป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การจัดระบบเบิกจ่ายค่าบริการผ่านช่องทางเดียวกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณในการดูแลผู้ประกันตนของ 2 กองทุน และให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตามชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะนำข้อมูลสุขภาพของผู้ประกันตนไปบริหารจัดการเพื่อดูแลสุขภาพให้กับผู้ประกันตนได้ดียิ่งขึ้นต่อไป” เลขาสปสช.กล่าวด้าน นายบุญสงค์กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการผลักดันให้เกิดสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ผู้ประกันตน โดยกำหนดเพิ่มเติมตามมาตรา 63 (2) ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฉบับที่ 4 พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกันตนมีสิทธิการตรวจสุขภาพตามรายการและความถี่ตามช่วงอายุ จำนวน 14 รายการ นับเป็นก้าวแรกในการขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ผู้ประกันตน โดยตั้งแต่ปี 2560 – ปัจจุบัน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้ผู้ประกันตนวัยแรงงาน มุ่งเน้นการป้องกันสุขภาพที่ถาวรมากกว่าการรักษา

Advertisement

“ผู้ประกันตนคนไทยและต่างชาติและต่างด้าว จะได้รับบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคจากทั้งสองหน่วยงาน โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับผิดชอบจ่ายชดเชยค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับหน่วยบริการที่ให้บริการผู้ประกันตนคนไทยทุกคนตามรายการพื้นฐาน และสำนักงานประกันสังคมรับผิดชอบจ่ายค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับหน่วยบริการในรายการเสริม/เพิ่มเติม ที่นอกเหนือจากรายการพื้นฐานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดให้กับผู้ประกันตนคนไทย ทั้งนี้สำหรับผู้ประกันตนต่างชาติ/ต่างด้าว สำนักงานประกันสังคมจะเป็นผู้รับผิดชอบ” เลขาสปส.กล่าวขณะที่ รศ.นพ.เชิดชัยกล่าวว่า วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ในการที่ 2 กองทุนสุขภาพของประเทศ มาร่วมกันบูรณาการในการส่งเสริมและป้องกันโรคเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข “30 บาทพลัส” เพราะการป้องกันโรคเป็นสิ่งสำคัญในการลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของทั้ง 2 กองทุน นอกจากนั้น ยังลดความซ้ำซ้อนในการดูแลประชาชน และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลประชาชนให้ดีขึ้น

“ทั้ง 2 กองทุนนี้จะสามารถดูแลประชาชนครอบคลุมเกือบทั้งประเทศ เนื่องจากผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีเกือบ 24 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยแรงงาน ที่ควรได้รับการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค” รศ.นพ.เชิดชัยกล่าวด้าน นายพิพัฒน์กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้ จะเป็นการรวมงบประมาณของทั้ง 2 กองทุน พร้อมลดความซ้ำซ้อนในการเบิกจ่าย เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิภาพการส่งเสริมป้องกันโรค ได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน ที่สำคัญคือผู้ประกันตนจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมที่นอกเหนือจากรายการตรวจพื้นฐาน เช่น การทำงานของไต Cr การตรวจปัสสาวะ Ua เอกซเรย์ปอด ผ่านระบบบริหารจัดการมาตรฐานการรักษาหนึ่งเดียวที่เป็นเลิศ นอกจากนั้น ประกันสังคมที่มีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 ซึ่งปี 2567 ประกันสังคมจะมีบริการรถโมบายตรวจสุขภาพ ลงไปดูแลสุขภาพผู้ประกันตนถึงสถานประกอบการ ซึ่งส่วนนี้ถ้าอาศัยเฉพาะเงินของประกันสังคมเองก็คงจะดำเนินการได้ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เมื่อมี สปสช. มาให้การสนับสนุนอีกแรงหนึ่ง จะเป็นการต่อยอดให้กับคนไทยในภาพรวมให้มีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ตนคิดว่าเรื่องนี้ควรจะต้องมีการดูแลอีกหลายๆ กระทรวงเพื่อรวมงบประมาณกันและเพื่อให้เกิดการใช้งบประมาณในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องคนไทยมากยิ่งขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image