เครือข่ายแพทย์นัดรวมพล 14 ก.พ. จี้ ‘ชลน่าน’ แก้ปม สปสช.เบิกจ่ายค่าบริการให้คลินิกล่าช้า

เครือข่ายแพทย์นัดรวมพล 14 ก.พ. จี้ ‘ชลน่าน’ แก้ปม สปสช.เบิกจ่ายค่าบริการให้คลินิกล่าช้า

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเครือข่ายคลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพมหานคร กว่า 100 แห่ง ขึ้นป้ายดำประท้วงกรณีการเบิกจ่ายงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ทำให้คลินิกขาดสภาพคล่อง เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุด เครือข่ายแพทย์ 4 สถาบัน ประกอบด้วย เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย, ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป, ชมรมโรงพยาบาลสถาบันกรมการแพทย์ และสมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกด่วนที่สุด ถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เรื่องข้อเท็จจริงและข้อเสนอประกอบการแก้ปัญหาเรื้อรังจากการบริหารจัดการของ สปสช. ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

โดยระบุว่า ในระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิในกรุงเทพฯ สปสช.เขต13 และคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) เขต 13 มีการปรับระบบบริการที่ผิดพลาดจากโมเดล 2 เป็นโมเดล 5 ในปีงบประมาณ 2564 ส่งผลกระทบให้มูลค่าการบริการเกินกว่าการบริการเกือบ 300 ล้านบาท โดย สปสช.จ่ายบริการชดเชยค่าบริการผู้ป่วยนอกแก่คลินิกชุมชนอบอุ่นเพียงร้อยละ 57 ของค่าบริการจริง ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 ปรากฏว่ามีการจ่ายค่าบริการในไตรมาสแรกเกินกว่าร้อยละ 50 ของงบประมาณ มีแนวโน้มจะมีปัญหาเช่นเดียวกับปี 2566 จึงเรียกร้องให้หยุดใช้โมเดล 5 ในกรุงเทพฯโดยเร็ว และกลับไปใช้โมเดล 2 และแนะนำให้จัดสรรงบประมาณค่าบริการผู้ป่วยนอกเพิ่มเติมให้เพียงพอสำหรับการบริการใน 3 ไตรมาส ที่เหลือของปีงบประมาณ 2567 และจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์ในอัตราปกติ และไม่ควรขยายบริการโมเดล 5 ออกไปนอกกรุงเทพฯ

ADVERTISMENT

ส่วนระบบบริการสุขภาพในภูมิภาค ซึ่งดำเนินการโดยสถานบริการของ สธ. เกือบร้อยละ 100 นั้น พบปัญหาโดยสังเขป ได้แก่ ค่าบริการเหมาจ่ายรายหัว สปสช. จ่ายให้ต่ำกว่าต้นทุนอย่างมาก เมื่อปี 2567 ต้นทุนในหน่วยบริการโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไปของ สธ. ในส่วนของผู้ป่วยในอยู่ที่ 13,142 บาท ต่อ 1 AdjRW แต่ สปสช.กลับจ่ายในอัตรา 8,350 บาท ต่อ 1 AdjRW หรือร้อยละ 63 ของต้นทุนบริการมาตลอดในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการปรับเพิ่มอัตราจ่ายให้หน่วยบริการ

ADVERTISMENT

ในปี 2566 สปสช.คาดว่า บริการผู้ป่วยในต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เพราะสถานการณ์โรคโควิด-19 ผู้ป่วยถูกเลื่อนบริการ ทำให้มีผู้ป่วยตกค้างจำนวนมาก เมื่อสถานการณ์คลี่คลายยอดบริการผู้ป่วยจึงปรับเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ สปสช.ไม่เคยประสานกับหน่วยบริการในการประเมินฉากทัศน์ และใช้วิธีแก้ปัญหาเดิมๆ ดึงเงินค่าบริการผู้ป่วยในกลับจากโรงพยาบาลของ สธ. 710 แห่ง รวมเป็นเงิน 2,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการจ่ายค่าบริการเพียง 7,678 บาท ต่อ 1 AdjRW หรือคิดเป็น ร้อยละ 58 ของต้นทุน

การจ่ายค่าบริการต่ำกว่าทุน ทำให้หน่วยบริการประสบปัญหาวิกฤตการเงิน รพ.เอกชน ออกจากระบบหลักประกันสุขภาพ หากปล่อยเป็นเช่นนี้ อนาคตจะกระทบต่อบริการประชาชน ที่ผ่านมา สปสช.ประกาศปรับอัตราการเบิกจ่ายไม่เคยมีการตกลงร่วมกับหน่วยบริการ ทั้งที่ต้นทุนโรงพยาบาลแต่ละระดับที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ เครือข่ายสถานพยาบาลฯ ยังมีข้อเสนอแนะ ใช้เงินกองทุนรายได้ (ต่ำ) กว่ารายจ่ายสะสม เนื่องจากเป็นการให้บริการเกินเป้าหมายจริง, ค่ารักษาส่วนที่เกินจากการประมาณการ สปสช.ควรแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่ผลักภาระให้หน่วยบริการ สปสช.ต้องลงบัญชีเป็นลูกหนี้ ของโรงพยาบาลที่เคยเรียกคืน ไม่ใช่ลงบัญชีว่า โรงพยาบาลเป็นลูกหนี้ สปสช. และต้องลดขั้นตอนและลดการกำหนดข้อมูลที่มากเกินจำเป็น พร้อมสนับสนุนให้เร่งรัดจัดตั้งเครือข่ายสถานพยาบาล (Provider Board) เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม ใช้ข้อมูลการบริการจริงในการคำนวณวงเงิน

ทั้งนี้ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00 น. เครือข่ายแพทย์ทั้ง 4 สถาบัน นัดรวมพลังยื่นหนังสือเปิดผนึกต่อรัฐมนตรีว่าการ สธ. ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. พร้อมข้อเสนอปรับปรุงการดำเนินการของ สปสช. และเร่งรัดจัดตั้งองค์กรสถานพยาบาล

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image