‘พิพัฒน์’ เดินสายพบแรงงานไทยในเกาหลี ย้ำ! เพิ่มโควตาส่งออกบุคลากรลดเสียดุลประเทศ
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เดินทางไปราชการที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) โดยได้เข้าเยี่ยมแรงงานไทยที่มาทำงานในเมืองอินชอน ณ บริษัท Samho Development จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมก่อสร้างที่รับเหมาก่อสร้างสาธารณูปโภคหลายประเภท เช่น ถนนทางด่วน ทางรถไฟ อุโมงค์ ศูนย์อุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และสถานที่พักอาศัย ซึ่งมีการจ้างแรงงานไทยจำนวนมากที่สุดในเกาหลีใต้
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า วันนี้ตนและคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงานได้เข้าเยี่ยมพี่น้องแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในบริษัท ซัมโฮ โดยบริษัทดังกล่าวได้มีการว่าจ้างแรงงานต่างชาติ รวม 1,094 คน ในจำนวนนี้มี 1,073 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 98 เป็นแรงงานชาวไทย
“ซึ่งการหารือกับประธานบริษัท ซัมโฮ ในวันนี้ ก็ได้รับคำยืนยันว่า แรงงานไทยที่มาทำงานในเกาหลีเป็นคนที่ขยัน เรียนรู้ไว ทำงานเร็วและมีทักษะด้านการช่างเป็นอย่างดี ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้างที่เป็นงานต้องแข่งกับเวลา เพราะหากมีการส่งมอบงานไม่ตามกำหนด ก็จะมีเรื่องค่าปรับเข้ามาด้วย ซึ่งทางบริษัท ซัมโฮ ก็มีแผนการรับแรงงานไทยในอนาคตซึ่งจะเป็นแรงงานฝีมือระดับกลางไปจนถึงระดับสูง” นายพิพัฒน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงแผนการส่งออกแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ตามความต้องการของตลาดแรงงาน นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตามนโยบายของตนที่ต้องการลดดุลการค้าแรงงาน เพราะปัจจุบันก็ทราบดีว่าประเทศไทยนำเข้าแรงงานต่างชาติมาจำนวนมากกว่าล้านคน ในขณะที่ส่งออกแรงงานไปทำงานต่างประเทศหลักแสนคน ดังนั้น กระทรวงแรงงานจะต้องพัฒนาฝีมือแรงงานไทย เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานโลกและส่งออกแรงงานไปทำงานต่างประเทศให้ได้มากขึ้น
เมื่อถามว่า เกาหลีมีความต้องการแรงงานไทยในทักษะแรงงานด้านใด นายพิพัฒน์กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยส่งแรงงานเข้ามาในประเทศเกาหลี ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทช่างเชื่อม ช่างก่อสร้าง โดยเฉพาะบริษัทฮุนได และบริษัทอู่ต่อเรือ ที่มีช่างเชื่อมของไทยเข้าไปทำงานหลักพันคนแล้ว
“แต่สิ่งสำคัญคือ แรงงานที่เข้าไปทำงานจะต้องไปอย่างถูกกฎหมาย จึงขอเชิญชวนคนไทยผู้ที่มีความสามารถในสาขาต่างๆ ที่ทางบริษัทในประเทศเกาหลีมีการประกาศรับสมัคร ซึ่งสามารถมาทำงานผ่านบริษัทจัดหางาน หรือผ่านทาง กกจ.ได้ และส่วนสำคัญของการมาทำงานในต่างประเทศคือ ทักษะแรงงานและภาษา ในส่วนนี้จะมีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ของกระทรวงแรงงาน หรือสถานทดสอบฝีมือแรงงานของบริษัทจัดหางาน จัดอบรมและจัดการทดสอบทักษะให้” นายพิพัฒน์กล่าว และว่า ขณะนี้ เกาหลีเองก็มีความพยายามขอให้มีแรงงานไทยเข้ามาทำงานในระบบแรงงานประเภทฤดูกาล (Seasoning) ซึ่งจะเป็นการจ้างงานระยะสั้นราว 5 เดือน โดยเฉพาะแรงงานภาคการเกษตรที่ต้องมาทำงานในฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งมีความต้องการแรงงานในส่วนนี้อย่างมาก จึงขอเชิญชวนแรงงานไทยเข้ามาสมัครงานเพื่อไปทำงานในเกาหลีมากขึ้น
ด้าน นายซีม แจ บอม กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ซัมโฮ กล่าวว่า เมื่อ 30 ปีก่อน เกาหลีเคยเป็นประเทศที่ส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ เราจึงเข้าใจความต้องการของแรงงานต่างประเทศที่มาทำงานในเกาหลีเป็นอย่างดี ทางบริษัทซัมโฮจึงดูแลแรงงานทุกประเทศเป็นอย่างดี และล่าสุด ได้รับแรงงานเพิ่มใน 4 ประเทศ คือ ไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชา เพราะเป็นแรงงานที่มีทักษะ ทำงานรวดเร็วและมีคุณภาพ โดยตนหวังว่าเมื่อแรงงานที่มาทำงานในเกาหลีมีทักษะแล้ว ก็สามารถใช้ทักษะไปพัฒนาการทำงานในประเทศของตนเองได้
ขณะที่ นายกฤตนู สุริยวชิรชัย ชาว จ.เชียงใหม่ ที่ทำงานในบริษัท ซัมโฮ รวม 1 ปี 4 เดือน กล่าวว่า ดีใจที่กระทรวงแรงงานลงพื้นที่เยี่ยมแรงงานในเกาหลี ซึ่งตนทำงานในประเทศเกาหลีที่ผ่านระบบของรัฐบาลจะได้รับการดูแลและสวัสดิการที่มากกว่าการทำงานแบบผิดกฎหมาย หรือที่เราเรียกว่า “ผีน้อย”
“จึงขอเชิญชวนให้ชาวไทยที่สนใจมาทำงานในเกาหลีให้เข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกต้อง ซึ่งหลายคนอาจจะกังวลเรื่องภาษา ในสิ่งที่จะแนะนำคือ การสอบทักษะมาทำงานก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องภาษา แต่การทำงานเราก็จะได้ฝึกภาษาที่มากขึ้น ซึ่งคนเกาหลีก็ใจดีกับคนไทย ดังนั้นไม่ต้องกังวล” นายกฤตนูกล่าว
เมื่อถามว่า หลายคนก็มองว่าไม่ต้องลำบากในต่างประเทศ ทำงานอยู่ประเทศไทยก็มีรายได้เช่นกัน นายกฤตนู กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า ทำงานในประเทศไทยก็มีความลำบากเหมือนกัน ตากฝน ตากแดด เหมือนกัน แต่การทำงานที่เกาหลีนั้น รายได้เฉลี่ยวันละ 2,000 บาท ดังนั้น ทำงาน 1 เดือน ในเกาหลีก็เท่ากับทำงานหลายเดือนในประเทศไทย
“ทำงานแค่ 5 ปี ก็สามารถต่ออนาคตเราไปได้เยอะ โดยเฉพาะงานด้านทักษะที่ได้รับจากการทำงานในประเทศเกาหลี เพราะที่นี่มีการใช้เครื่องมือในการทำงานมากกว่าประเทศไทย เราก็จะได้เทคนิคในการใช้เครื่องมือหรือทักษะการทำงานที่มากกว่าในประเทศด้วย” นายกฤตนู กล่าว