สปสช.แจงแนวทางส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองในกรุงเทพฯ ยันรับบริการตามปกติ สงสัยกด 1330

สปสช.แจงแนวทางส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองในกรุงเทพฯ ยันรับบริการตามปกติ สงสัยกด 1330

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ชี้แจงแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังจากเกิดปัญหามีการปรับเปลี่ยนวิธีการเบิกจ่ายเงิน จนส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวชี้แจงแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า สปสช.เป็นหน่วยงานทำหน้าที่เหมือนบริษัทประกัน รับจัดสรรงบประมาณปลายปิดจากรัฐบาลและนำมาบริหารจัดการให้ประชาชน 48 ล้านคน เข้าถึงบริการสุขภาพ โดยกระจายงบประมาณไปแต่ละเขตพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพฯ มีอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) กำหนดกติกาบริหารงบประมาณ ซึ่งในส่วนการดูแลผู้ป่วยนอกนั้น ในกรุงเทพฯ จะมี “คลินิกชุมชนอบอุ่น ใกล้บ้านใกล้ใจ” เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิร่วมให้บริการด้วย ซึ่งการจัดสรรงบประมาณทุกอย่างได้ทำอย่างเป็นขั้นตอนภายใต้ข้อจำกัดงบประมาณ

Advertisement

รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมา เกิดปัญหางบประมาณผู้ป่วยนอกที่คลินิกชุมชนอบอุ่น ทำให้มีข้อเสนอจากคลินิกเอง ในการปรับวิธีการจัดสรรงบประมาณและได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ทำให้เกิดการร้องเรียนของผู้ป่วยที่มีใบส่งตัวเพื่อรับบริการที่โรงพยาบาล    (รพ.) รับส่งต่อใช้ไม่ได้ และ รพ.แนะนำให้ผู้ป่วยกลับไปขอใบส่งตัวที่คลินิกที่ได้ลงทะเบียนไว้ ขณะที่คลินิก ขอประเมินผู้ป่วยก่อนและจะออกใบส่งตัวให้ผู้ป่วยที่เกินศักยภาพดูแลเท่านั้น ทำให้เกิดปัญหา โดย สปสช. ได้พยายามแก้ไขอยู่ในขณะนี้ โดยมีประชาชนเป็นตัวตั้ง

ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา มีประชาชนใช้ช่องทางสายด่วน สปสช. 1330 จำนวนมากเพื่อให้แก้ไขปัญหา โดยแยกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มผู้ป่วยที่ถึงวันนัดแล้วแต่รับบริการที่ รพ.ไม่ได้ เพราะใบส่งตัวที่เคยใช้ไม่สามารถใช้ได้แล้ว มีประมาณร้อยละ 10 ถือเป็นกลุ่มเร่งด่วนที่ต้องดูแล 2.กลุ่มมีนัดเข้ารับการรักษาในระยะเวลาอันใกล้ และเกิดความกังวลว่าจะไม่สามรถเข้ารับบริการได้ และ 3.กลุ่มที่ยังไม่มีนัด แต่โทรศัพท์สอบถามข้อมูลก่อน

“ดังนั้น สปสช.ขอความร่วมมือในช่วงนี้ ให้ผู้ป่วยกลุ่มที่ 1 ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนเข้ารับบริการ โทรศัพท์สอบถามที่สายด่วน 1330 ก่อน เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ขณะเดียวกัน สปสช. เองได้เพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อคอยรับสายเพิ่มเติมอีก 100 คน เพื่อให้บริการประชาชนได้เพิ่มขึ้น หรือฝากข้อความผ่านระบบออนไลน์ของ สปสช.” ทพ.อรรถพร กล่าวและว่า ขณะนี้ สปสช.ได้รับการประสานจากหน่วยบริการภาคเอกเชนเพื่อขอเข้าร่วมจัดเครือข่ายคลินิกชุมชนอบอุ่นให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวกเพิ่มขึ้น

Advertisement

ด้าน พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ช่วงก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2567 สปสช. ใช้ระบบการจ่ายชดเชยค่าบริการที่เรียกว่า Model 5 มีศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นหน่วยบริการประจำ และมีคลินิกชุมชนอบอุ่นเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่าย โดยจัดสรรเป็นงบประมาณรวม (Global budget) ที่แบ่งจัดสรรงบเป็น 2 ส่วน คือ งบจ่ายค่าบริการให้กับคลินิกชุมชนอบอุ่นตามรายการปลายปิด (FS.) และงบสำหรับกรณีส่งตัวผู้ป่วยรักษาที่ รพ. โดยคลินิกได้รับเงินตามจำนวนที่เรียกเก็บและได้รับเงินคงเหลือในช่วงปลายปี เป็นจำนวน 412 ล้านบาท ในปี 2564 และ 618 ล้านบาท ในปี 2565

“อย่างไรก็ดี ในปี 2566 ด้วยจำนวนการส่งต่อผู้ป่วยไปรับบริการที่ รพ.รับส่งต่อเพิ่มมากขึ้น หลังการหักค่าใช้จ่ายจากการส่งต่อ ทำให้งบที่จ่ายค่าบริการแก่คลินิกชุมชนอบอุ่นไม่เพียงพอ ทางคลินิกชุมชนอบอุ่นจึงรวมตัว และมีข้อเสนอเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินเป็น OP New Model 5 ให้เป็นงบเหมาจ่ายรายหัวที่โอนให้คลินิกชุมชนอบอุ่นทั้งก้อน โดยคลินิกจะทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในพื้นที่และส่งต่อผู้ป่วย โดย อปสข. เขต 13 กทม. ได้มีมติตามข้อเสนอ และได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา” พญ.ลลิตยา กล่าวและว่า ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญคือ เรื่องการส่งต่อผู้ป่วย ซึ่งจะเป็นดุลยพินิจของหน่วยบริการปฐมภูมิ แต่ในฝั่งประชาชนก็มีความกังวล เพราะด้วยคลินิกชุมชนเป็นผู้ตามจ่าย ดังนั้น ในระยะยาวจะต้องมีการจัดทำกลไกระบบส่งต่อเพื่อรองรับประชาชนที่จำเป็นต้องเข้ารักษาที่ รพ. ช่วยลดความขัดแย้งกรณีการส่งต่อ โดยเฉพาะประชาชนที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่มีความซับซ้อน หรือต้องใช้ยาราคาแพง ซึ่งเกินศักยภาพการดูแลของคลินิกชุมชนอบอุ่นอยู่แล้ว จัดระบบเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่เห็นชอบร่วมกัน เพื่อให้ผู้สามารถเข้ารับบริการได้ตามระบบ โดยไม่ต้องรอดุลยพินิจของหน่วยบริการปฐมภูมิ หรือขอใบส่งตัว นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีการเสนอตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อชี้ขาดกรณีผู้ป่วยไม่ได้รับใบส่งตัวด้วย

ทพญ.น้ำเพชร ตั้งยิ่งยง ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 13 กทม. กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น สปสช. เขต 13 ได้ตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์ หลังเริ่มระบบใหม่ และได้ประชุมร่วมกับคณะทำงานทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมาต่อเนื่อง ซึ่งก็ได้แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยสิทธิบัตรทองในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งได้เร่งทำการสื่อสารไปยัง รพ.และคลินิกชุมชนอบอุ่นแล้ว โดยเน้นไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้รับบริการ อย่างไรก็ดี ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนทุกคนว่า ยังสามารถเข้ารับบริการได้เหมือนเดิม แม้จะเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการ แต่ระบบการให้บริการไม่ได้เปลี่ยน เพียงแต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ คลินิกชุมชนอบอุ่นที่ผู้มีสิทธิบัตรทองได้ลงทะเบียนไว้อยากจะขอดูแลท่านก่อน เพื่อประเมินอาการ หากเกินศักยภาพ จะมีการส่งต่อ รพ. ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยบริการปฐมภูมิของตนเองได้ในแอพพลิเคชันไลน์ สปสช. หรือผ่าน สายด่วน 1330 และในกรณีต้องการย้ายหน่วยบริการปฐมภูมิให้ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงาน เพื่อความสะดวกการรับบริการก็สามารถย้ายได้ถึงปีละ 4 ครั้ง

“ขอย้ำว่า วันนี้ประชาชนที่มีใบนัด มีใบส่งตัวเดิม ไม่ต้องกังวล ขอให้ไปที่ รพ.รับส่งต่อได้เลย สามารถรับบริการได้ตามปกติ ที่ผ่านมา สปสช. ได้ทำการชี้แจง และ รพ.รับทราบแนวทางแล้ว โดยสามารถเบิกจ่ายจาก สปสช. ได้ ส่วนกรณีที่มีใบนัด แต่ไม่มีใบส่งตัว ก็ให้ รพ.พิจารณาให้การรักษาแล้วแต่กรณี ซึ่งก็สามารถเบิกกับ สปสช. ได้เช่นกัน” ทพญ.น้ำเพชร กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image