ไม่ใช่แค่ห้องธรรมดา ผู้ว่าฯหวังเด็กรู้ภัย PM2.5 สร้าง ‘ห้องเรียนปลอดฝุ่น’ ให้ครบ 437 ร.ร.

ผู้ว่าฯ ลุยเฟส 2 สร้าง ‘ห้องเรียนปลอดฝุ่น’ ให้ครบ 437 โรงเรียน – ชี้ ไม่ใครเรื่องกายภาพ หวังปลูกฝังเด็กรู้ภัย PM 2.5 ระยะยาว

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตพระนคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดตัว โครงการห้องเรียนสู้ฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระยะที่ 2

นายชัชชาติกล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 2 ของห้องเรียนสู้ฝุ่นที่กรุงเทพมหานครร่วมกับภาคีเครือข่าย อาทิ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ThaiPBS กรมอนามัย เนื่องจากห้องเรียนปลอดฝุ่นเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากเรายังแก้ปัญหาจากต้นตอสาเหตุฝุ่น ไม่ได้ 100% และเด็กเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด ถ้าฝุ่นเข้าไปในร่างกายแล้วจะสร้างผลกระทบในระยะยาว รวมถึงการปลูกฝังการแก้ปัญหาฝุ่นก็จะทำให้แก้ปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืนได้

“จริงๆ แล้วเราไม่ควรมีห้องเรียนปลอดฝุ่นด้วยซ้ำ เพราะควรจะปลอดฝุ่นทั้งเมืองเลย แต่ถ้าเรายังอยู่ในสภาวะที่มีฝุ่นอยู่ ห้องเรียนปลอดฝุ่นก็ยังสำคัญ” นายชัชชาติเผย

Advertisement

โดยในปีแรก กทม.มีห้องเรียนปลอดฝุ่น ประมาณ 32 ห้องเรียน ปัจจุบันขยายเป็น 437 ห้องเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เด็กมีสถานที่ปลอดภัยในสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 สูง รวมถึง กทม. จะขยายห้องเรียนปลอดฝุ่นไปยังศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน อีกด้วย

“ห้องเรียนปลอดฝุ่น ไม่ใช่แค่เรื่องของกายภาพที่ทำให้ห้องป้องกันฝุ่นเข้ามาได้ แต่ยังเป็นเรื่องของการให้ความรู้ สร้างจิตสำนึก ให้นักเรียนตระหนักรู้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างละเอียด เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นจากต้นต่อสาเหตุฝุ่นได้อย่างยั่งยืน” นายชัชชาติ กล่าว

นายชัชชาติยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานการณ์ฝุ่นในปีนี้ ดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐมีหลายมาตรการในการแก้ปัญหา อาทิ รัฐบาล มีมาตรการเปลี่ยนมาตรฐานเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลให้เป็น มาตรฐาน Euro 5 ซึ่งช่วยได้เยอะเพราะฝุ่นฝนกทม. ส่วนใหญ่มาจากรถยนต์

Advertisement

ส่วน กทม.เองมีนโยบายเชิญชวนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ในโครงการ ‘รถคันนี้ลดฝุ่น’ ซึ่งมีรถเข้าร่วมโครงการกว่า 280,000 คัน รวมถึงมาตรการใช้รถอัดฟาง 3 เครื่องเพื่อแก้ปัญหาการเผาฟางของเกษตรกรในย่านกรุงเทพตะวันออก แต่ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่ กทม.ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สภาพภูมิอากาศที่ปิด การเผาชีวมวลนอกพื้นที่กรุงเทพฯ และจากประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

สำหรับ โครงการยกระดับองค์ความรู้สําหรับเด็กและเยาวชน เพื่อการตระหนักถึง ปัญหาด้านสุขภาพในพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กสู่นโยบายสาธารณะ หรือ ‘ห้องเรียนสู้ฝุ่น’ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยครั้งนี้เป็นการดําเนินการใน ระยะที่ 2 ซึ่งระยะที่ 1 ได้ดําเนินการสร้างต้นแบบไปแล้ว จํานวน 32 โรงเรียน

โดยระยะที่ 2 นี้จะเป็นการดําเนินการห้องเรียนสู้ฝุ่นให้ครบคลุมทั้งสิ้น จํานวน 437 โรงเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเมืองต้นแบบการรับมือกับฝุ่น PM2.5 ผ่านองค์ความรู้และข้อมูลวิทยาศาสตร์ โดยมีระบบข้อมูลองค์ความรู้ นวัตกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 และชุดกิจกรรมเสริมหลักสูตร สําหรับใช้ในการเรียนการสอนในโรงเรียน ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับภาคีเครือข่ายในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่ด้วยตนเอง และสามารถสื่อสารเรื่องภัยฝุ่น PM2.5 ส่งต่อไปยังครอบครัว ชุมชน และสังคมต่อไป

ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่า PM2.5 สามารถสะสมในถุงลมฝอยของปอด สามารถแทรกซึมเข้าสู่กระแสโลหิตและกระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งได้กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 5 ของประชากรโลกในปี 2558 นอกจากนี้ปี 2559 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจาก มลพิษทางอากาศ 7 ล้านคน โดยเกิดจากมลพิษทางอากาศภายนอกอาคาร (Ambient Air) 4.2 ล้านคน และร้อยละ 91 เกิดในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกตะวันตก สําหรับในประเทศไทย มีการรายงานความเชื่อมโยงการได้รับสัมผัส PM2.5 และผลกระทบต่อการตายก่อนวัยอันควร โดยกลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่ได้แก่ เด็กและผู้สูงอายุ

สำหรับ พิธีเปิดตัวโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระยะที่ 2 ในวันนี้มี นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้บริหารด้านความยั่งยืนกรุงเทพมหานคร (Chief. Sustainability Officer : CSO) ดร.นพ. ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผศ.ดร. นิอร สิริมงคลเลิศกุล ที่ปรึกษาโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ นางสาวศุภร คุ้มวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ผู้บริหารสำนักการศึกษา ผู้แทนหน่วยงาน ภาคีเครือข่าย ผู้อํานวยโรงเรียน เข้าร่วมพิธี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image