กรมอนามัย จับมือ คพ. ภาคีเครือข่าย ลดใช้ ‘อะมัลกัม’ ทางทันตกรรม

กรมอนามัย จับมือ คพ. ภาคีเครือข่าย ลดใช้ ‘อะมัลกัม’ ทางทันตกรรม

วันนี้ (1 พฤษภาคม 2567) พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือ “โครงการเร่งรัดการดำเนินงานลดการใช้อะมัลกัมทางทันตกรรมและเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการจัดการสิ่งแวดล้อมภายใต้อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท” กับ น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สถาบันบรมราชชนก ราชวิทยาลัยทันตแพทย์แห่งประเทศไทย องค์กรผู้บริหารคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ทันตแพทยสภาทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมทันตกรรมหัตถการ สมาคมทันตแพทย์เอกชน และชมรมทันตแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ณ อาคารวายุภักษ์ เซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ

พญ.อัจฉรา กล่าวว่า กรมอนามัยได้รับงบประมาณสนับสนุนในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศไทยในการลดการใช้อะมัลกัมและลดการปลดปล่อยปรอทสู่สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการจัดการขยะอะมัลกัมอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมกับองค์การอนามัยโลก โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และอีก 2 ประเทศ คือ สาธารณรัฐเซเนกัล และสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ระหว่างปี 2566 – 2569

Advertisement

พญ.อัจฉรา กล่าวว่า อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินและน้ำของปรอทหรือสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งประเทศไทยโดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ ผ่านการจัดส่งภาคยานุวัติสารให้กับองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ส่งผลให้อนุสัญญาฉบับนี้มีผลกับประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2560 เป็นต้นมา ทั้งนี้ บทบัญญัติที่สำคัญประการหนึ่งของอนุสัญญามินามาตะฯ คือ ภาคีต้องดำเนินมาตรการลดการใช้อะมัลกัมทางทันตกรรม 2 มาตรการ หรือมากกว่า จากมาตรการที่อนุสัญญากำหนดทั้งสิ้น 9 มาตรการ ปัจจุบันประเทศไทยโดยความร่วมมือของกรมอนามัยและ อย.ได้ดำเนินการลดการใช้อะมัลกัมทาง
ทันตกรรมแล้ว 5 มาตรการ จึงถือได้ว่า ประเทศไทยดำเนินการเกินกว่าบทบัญญัติของอนุสัญญาดังกล่าวแล้ว

Advertisement

“ประเทศไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศภาคีที่องค์การอนามัยโลก และยูเอ็นอีพี เห็นถึงศักยภาพและจัดให้เป็นประเทศต้นแบบเพื่อดำเนินกิจกรรมลดการใช้วัสดุอุดฟันอะมัลกัม ภายใต้อนุสัญญามินามาตะฯ เนื่องจากสามารถดำเนินการได้ครอบคลุมถึง 5 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1 การกำหนดวัตถุประสงค์ระดับชาติ เพื่อป้องกันฟันผุ และสนับสนุนการสร้างทันตสุขภาพที่ดี เพื่อลดความต้องการในการบูรณะฟัน ผ่านโครงการส่งเสริมทันตสุขภาพทุกกลุ่มวัย มาตรการที่ 3 ส่งเสริมการใช้วัสดุทางเลือกที่ไม่มีปรอทในการบูรณะฟัน ที่มีความคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพทางคลินิก เช่น การบูรณะฟันด้วยเทคนิค SMART ในเด็กปฐมวัย หรือในกลุ่มวัยอื่น ๆ ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา มาตรการที่ 5 สนับสนุนองค์กรทางวิชาชีพด้านทันตกรรม และสถาบันการศึกษาด้านทันตกรรม เพื่อการศึกษาและฝึกอบรมทันตแพทย์ และนักศึกษาทันตแพทย์ในการใช้วัสดุทางเลือกที่ปราศจากปรอท และส่งเสริมให้มีแนวปฏิบัติการจัดการที่ดีที่สุด มาตรการที่ 8 จำกัดการใช้อะมัลกัมในรูปแบบแคปซูล โดย อย.ออกมาตรการที่มีผลทางกฎหมาย ในการยกเลิกการผลิต นำเข้า และส่งออกอะมัลกัมชนิดเม็ดในประเทศไทย และ มาตรการที่ 9 สนับสนุนการใช้แนวปฏิบัติทางสิ่งแวดล้อมในสถานบริการทันตกรรม เพื่อลดการปล่อยสารปรอทลงสู่น้ำ และดิน ผ่านการพัฒนาคู่มือการจัดการขยะติดเชื้อและขยะปนเปื้อนปรอทจากคลินิกทันตกรรม เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้ทันตบุคลากร สังกัด สธ.” พญ.อัจฉรา กล่าว

อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในปี 2567 กรมอนามัย โดยสำนักทันตสาธารณสุข ยังคงเดินหน้าเร่งรัดการดำเนินงานตามข้อกำหนดในอนุสัญญามินามาตะฯ และเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำโครงการดังกล่าว ร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยกำหนดกิจกรรมสำคัญ 1.พัฒนามาตรการลดการใช้วัสดุอุดฟันอะมัลกัมในทุกกลุ่มวัย เน้นกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา 2.พัฒนากลไกการจัดการขยะอะมัลกัมจากคลินิกทันตกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานภาคเอกชนที่รับกำจัดขยะอันตราย 3.พัฒนาคลินิกทันตกรรมต้นแบบในการลดการใช้วัสดุอุดฟันอะมัลกัม ส่งเสริมการใช้วัสดุทางเลือก และการจัดการขยะอะมัลกัมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ด้าน น.ส.ปรีญาพร กล่าวว่า คพ.ได้รับมอบหมายจาก ครม.ให้ปฏิบัติหน้าที่ศูนย์ประสานงานระดับชาติของอนุสัญญาดังกล่าว จึงอาศัยกลไกการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนมาตรการทางกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ เพื่อให้ประเทศไทยมีการจัดการปรอทที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดนี้มีองค์ประกอบของกรมอนามัยและอีกหลายหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกกฎหมายร่วมด้วย

“และมีการดำเนินงานโดยสรุป 1.พัฒนามาตรการทางกฎหมาย เพื่อควบคุมการผลิต นำเข้า และส่งออกปรอทและสารประกอบปรอท รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท และเพื่อห้ามมิให้บางกระบวนการผลิตมีการใช้ปรอทหรือสารประกอบปรอท ซึ่งรวมไปถึงการทำเหมืองแร่ทองคำพื้นบ้าน และขนาดเล็ก 2.ปรับค่ามาตรฐานหรือเพิ่มมาตรการ เพื่อควบคุมการปลดปล่อยปรอทสู่อากาศ และการปล่อยปรอทสู่ดินและน้ำ จากแหล่งกำเนิดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพื้นที่ปนเปื้อนปรอท 3.เสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถจัดการปรอทได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการจัดประชุมชี้แจงและสัมมนา เพื่อให้ความรู้ต่อสาระสำคัญของบทบัญญัติของอนุสัญญามินามาตะฯ และการแก้ไขภาคผนวกอย่างต่อเนื่อง และ 4.เผยแพร่ข้อมูลด้านเทคนิควิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น คู่มือและแนวปฏิบัติด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเอกสารทางวิชาการอย่างง่ายในรูปแบบอินโฟกราฟิกผ่านทางเว็บไซต์ และสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์” น.ส.ปรีญาพร กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image