ฮูแนะ ‘ไทย’ ทบทวนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยแอลกอฮอล์ ชี้ต่างชาติไม่ได้มาเพื่อดริงก์
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้นโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับนานาชาติ “บทบาทของนโยบายแอลกอฮอล์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ : มุมมองนานาชาติ” ที่จะขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านนโยบายแอลกอฮอล์ นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย
ได้ข้อสรุปว่า ประเทศไทยมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และดำเนินงานตามหลักยุทธศาสตร์ SAFER ทำให้เห็นถึงปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเห็นปัญหาที่ควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาสมดุลบทบาทของนโยบายแอลกอฮอล์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ สสส.พร้อมให้การสนับสนุนการทำงานในด้านของการประสานความร่วมมือกับศูนย์วิชาการ หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการขยายวงนักวิจัย นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นฐานความรู้ให้กับสังคม และผลิตข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ รวมถึงการนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวทีแลกเปลี่ยนดังกล่าว นายแด้ก เรกเว้ เจ้าหน้าที่อาวุโส องค์การอนามัยโลกสำนักงานใหญ่ กล่าวตอนหนึ่งว่า คนทั่วโลกกว่าร้อยละ 56 ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พฤติกรรมการดื่มไม่ใช่เรื่องปกติของสังคม โดยร้อยละ 4.7 ของการเสียชีวิต เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกว่า 2.6 ล้านคน ในจำนวนนี้กว่าครึ่งเสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี นับเป็นความสูญเสียมหาศาล ทั้งที่ป้องกันได้ด้วยนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งการควบคุมราคา การจำกัดการเข้าถึงทางกายภาพ และการควบคุมกิจกรรมการตลาดตามยุทธศาสตร์โลกและแผนปฏิบัติการระดับโลก แต่อุปสรรคที่สำคัญ ในบางประเทศที่ทำให้ไม่สามารถออกนโยบายควบคุมได้คือ อิทธิพลของกลุ่มธุรกิจในกระบวนการตัดสินทางนโยบาย ดังนั้น การปรับแก้กฎหมายต้องไม่เปิดช่องให้ธุรกิจเข้ามาแทรกแซง ซึ่งขณะนี้องค์การอนามัยโลกกำลังเตรียมออกแนวปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหานี้
นอกจากนี้ นายแด้ก ยังกล่าวถึงนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทย ว่า ถือว่าก้าวหน้า และแนะนำว่าการแก้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรมองอนาคตระยะยาว เน้นสวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตประชากรเป็นตัวตั้ง จากข้อมูลภาระโรคปี 2019 ร้อยละ 7.7 ของการเสียชีวิตของประชากรไทย เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกว่า 38,073 ราย ดังนั้น รัฐจึงควรตัดสินใจว่าจะลดความสูญเสียนี้อย่างไร ทั้งนี้ การจัดการปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องร่วมกันหลายภาคส่วนและทำในทุกระดับ การลดหย่อนความเข้มข้นของกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว จึงควรต้องทบทวนให้ดี เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประเทศไทย ไม่ได้มาเพื่อดื่มในประเทศสวยงามทั้งสถานที่ วัฒนธรรม และผู้คนนี้
ขณะที่ ศ.เดวิด เจอนิเก้น จาก Boston University School of Public Health สหรัฐอเมริกา นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายควบคุมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีมูลค่าการตลาดและการแข่งขันสูงมาก มักลงทุนทำกิจกรรมทางการตลาดมากเพื่อขยายฐานลูกค้า สร้างนักดื่มรายใหม่มาทดแทนรายเก่าที่ป่วยและเสียชีวิตไปทุกปี กิจกรรมการตลาดมีความซ้ำซ้อน และมุ่งเป้าไปที่การทำการตลาดกับลูกค้ามากขึ้นผ่านกิจกรรมทางสังคม และให้ทุนอุปถัมภ์กิจกรรมกีฬา และดนตรีที่กลุ่มเยาวชนสนใจ การใช้อินฟูเอนเซอร์ การสื่อสารข้ามพรมแดนของแคมเปญการตลาดระดับโลก และร้ายแรงที่สุดคือ การเข้าไปสร้างสัมพันธ์อันดีผู้กำหนดนโยบายและนั่งอยู่ในคณะกรรมการที่พิจารณานโยบายเพื่อลดทอนความเข้มแข็งของการพัฒนานโยบาย นโยบายควบคุมกิจกรรมการตลาดและการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงต้องออกแบบให้ครอบคลุมทั้งเนื้อหา ช่องทางและเทคนิคการสื่อสารมากที่สุด[/caption]
ด้าน ศ.เจอเก้น เรม ศูนย์การติดยาเสพติดและ สุขภาพจิต แคนาดา (Centre for Addiction and Mental Health: CAMH) นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ด้านนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก และที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุขของหลายประเทศในยุโรป กล่าวว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นับวันจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ การจ้างงานจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ในทางกลับกัน ธุรกิจนี้ได้สร้างต้นทุนทางสังคมให้แบกรับค่าใช้จ่ายที่เกิดจากผลกระทบจากการดื่ม ดังนั้น นโยบายคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ เครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพในสังคม มาตรการทางภาษีและการจำกัดการเข้าถึงช่วยลดผลกระทบจากการดื่มหนักและคุ้มครองสุขภาพกลุ่มประชากรเปราะบางรายได้น้อยไม่ให้กลายเป็นนักดื่มหรือติดสุราได้ดี
ศ.โทมัส บาร์เบอร์ โรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยคอนเน็คติคัท สหรัฐ นักวิชาการอาวุโสระดับโลก และหัวหน้าบรรณาธิการวารสารวิชาการชั้นนำด้านการเสพติดหลายสำนัก และบรรณาธิการหนังสือ “สุราไม่ใช่สินค้าธรรมดา” กล่าวว่า การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลประโยชน์และต้นทุนผลกระทบของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยามราตรีด้วยการส่งเสริมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากต่างประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ พบผลจากขยายเวลาขายในช่วงกลางคืนเพิ่ม 1 ชั่วโมง ทำให้มีการเรียกรถพยาบาลจากเหตุการณ์บาดเจ็บจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้นถึงร้อยละ 34 ทำให้มีเหตุทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ดังนั้น การท่องเที่ยวสายปาร์ตี้ (party tourisms) อาจมีผลประโยชน์ไม่สูง เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยรุ่นกำลังซื้อไม่สูงและอยู่เพียงระยะสั้น ในขณะที่สร้างต้นทุนทางสังคมที่เพิ่มขึ้นต่อห้องฉุกเฉินและสถานีตำรวจ และอาจมีความเสี่ยงปัญหายาเสพติดเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ หากไทยจะกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ควรเน้นไปที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness tourism) และวัฒนธรรมมากกว่า ซึ่งเป็นที่นิยม ไม่สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดี และสร้างมูลค่าสูงกว่าจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังซื้อสูงกว่า