กรมอนามัยแนะ 5 ขั้นตอน คอนโดฯ-อาคารพาณิชย์ หมั่นตรวจคุณภาพน้ำประปา
วันนี้ (12 กรกฎาคม 2567) พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารรสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากกรณีมีผู้พักอาศัยภายในอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) แห่งหนึ่งย่านเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบจำนวนหลายราย จากการใช้น้ำภายในอาคาร
เนื่องจากน้ำเป็นสิ่งที่ต้องใช้โดยตรงกับร่างกาย หากมีการจัดการน้ำที่ไม่ถูกวิธีหรือมีสารหรือการปนเปื้อน อาจทำให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะคอนโดฯ หอพัก อพาร์ตเมนต์ อาคารสำนักงาน ที่จะมีการเก็บน้ำประปาไว้บนอาคารสูง โดยมากจะมีบ่อสำรองน้ำใต้ดินก่อนเพื่อเก็บน้ำประปาก่อนที่จะสูบน้ำขึ้นไปพักไว้ในถังพักชั้นบน แล้วจ่ายให้แก่ผู้พักอาศัยตามห้องต่างๆ กรมอนามัย จึงแนะนำให้นิติบุคคลหรือผู้ดูแลอาคารดูแลรักษาระบบเก็บน้ำหรือถังพักน้ำ ในอาคาร เพื่อให้คุณภาพน้ำสะอาดอยู่เสมอ ดังนี้
1) สำรวจสถานที่ตั้งของ ถังเก็บน้ำหรือถังพักน้ำ พื้นที่ตั้งควรมีขอบเขตชัดเจนมีหลังคาคลุม พื้นที่ตั้งต้องสะอาด ไม่มีน้ำขัง ไม่มีสิ่งของวางเกะกะ รกรุงรังสามารถป้องกันสัตว์นำโรค เช่น สุนัข แมว นก หนู หรือสัตว์เลื้อยคลาน เข้าไปอาศัยได้ ถังน้ำไม่ควรตั้งกับพื้น ควรวางบนพื้นที่ยกระดับขึ้นมาประมาณ 15 เชนติเมตร มีแสงสว่างเพียงพอที่จะสามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติในถังน้ำได้ และป้องกันไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปบริเวณดังกล่าว
2) เลือกและดูแลตัวถังน้ำ ต้องทำมาจากวัสดุที่ปลอดภัย เหมาะสมสำหรับบรรจุอาหาร เช่น สแตนเลส ไฟเบอร์กลาส พลาสติก เป็นต้น สภาพถังน้ำต้องสะอาด ไม่ชำรุดแตกร้าว โดยเฉพาะฝาปิดต้องอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน ถังน้ำบนดินที่ออกแบบอย่างถูกต้องควรมีช่องระบายน้ำทิ้งด้านล่างสุด เพื่อความสะดวกเวลาล้างทำความสะอาดถัง ก่อนนำน้ำประปามาใส่ในครั้งแรกควรทำความสะอาดถังก่อนด้วยน้ำสะอาด และควรล้างถังน้ำอย่างถูกหลักสุขาภิบาลทุกๆ 6 เดือน โดยการขัดถูผนังด้านในด้วยแปรง จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้ง และในขั้นตอนสุดท้ายต้องใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรค เข้มข้น 50 ppm. แช่ถังทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วปล่อยทิ้งก่อนนำน้ำประปามาใส่ตามปกติ
3) รักษาคุณภาพน้ำ ส่วนมากอาคารสูงจะใช้น้ำประปา ซึ่งอาจจะเป็นน้ำประปาจาก การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ประปาของเทศบาล หรือประปาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โดยคุณภาพน้ำจากระบบผลิต น้ำประปานั้นส่วนใหญ่ได้มาตรฐานทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย นอกจากนั้น ยังมีคลอรีนอิสระในน้ำหลงเหลืออยู่ 0.2-0.5 ppm. แต่เมื่อนำมาใส่ถังน้ำสำรองคลอรีนอิสระในน้ำนี้ก็จะสลายหายไปจนไม่มีเหลือเลย ดังนั้นผู้ดูแลต้องเช็คปริมาณคลอรีนคงเหลืออยู่เสมอ โดยเฉพาะถังเก็บน้ำหรือถังพักน้ำบนอาคาร หากไม่พบควรจะมีการเติมคลอรีนเพิ่มให้มีคลอรีนอิสระคงเหลือไม่ต่ำกว่า 0.2 ppm. ตลอดเวลา
4) จัดให้มีผู้ดูแล เจ้าหน้าที่หรือผู้ดูแลควรได้รับการอบรมความรู้ในด้านการจัดการคุณภาพน้ำ เช่น วิธีการเติมคลอรีนในน้ำ การล้างถังที่ถูกต้อง การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำด้วยเครื่องมือหรือชุดทดสอบภาคสนาม
5) มีการป้องกันสัตว์นำโรค นอกจากบริเวณดังกล่าวควรมีรั่วรอบขอบชิดแล้ว หากมีหลังคาคลุมควรมี
การป้องกันพวกนก หนู เข้าไปทำรังหรือพักอาศัย เช่น มีตาข่ายกั้น ป้องกันนกไปทำรังหรืออาศัยเวลากลางคืน
พญ.อัจฉรา กล่าวว่า กรมอนามัย ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง ลงพื้นที่ ร่วมกับ สำนักอนามัย สำนักงานเขตจตุจักร ศูนย์บริการสาธารณสุข 51 จตุจักร กรุงเทพมหานคร (กทม.) และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) เก็บตัวอย่างน้ำอุปโภค จำนวน 7 ตัวอย่าง พบคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำ ระหว่าง 0.2-0.5 ppm 6 ตัวอย่าง และไม่พบคลอรีนอิสระในน้ำ 1 ตัวอย่าง และได้ให้คำแนะนำนิติบุคคลอาคารชุดให้ดำเนินการตรวจสอบรอยรั่วของระบบน้ำ ล้างถังพักน้ำ ท่อน้ำ และสระว่ายน้ำด้วยวิธี Chlorine shock การสื่อสารสร้างการรับรู้กับผู้อาศัย และการติดตามการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลังดำเนินการตามมาตรการ ซึ่งสำนักงานเขตจตุจักรจะเร่งดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การสาธารณสุข พ.ศ.2535 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550) เพื่อกำกับติดตามให้นิติบุคคลอาคารชุดดำเนินการตามมาตรการต่อไป
“สำหรับเชื้อปรสิตสามารถพบในแหล่งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำทะเล และน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่การได้รับเชื้อจะได้รับโดยบังเอิญ และหากมีการติดเชื้อในระบบหายใจ จะทำให้ปอดอักเสบ ติดเชื้อทางบาดแผล ทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ส่วนการติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งมักพบในผู้ใส่คอนแทคเลนส์ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา ตาแดง ปวดตา ถ้าเชื้อลุกลามอาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอดได้ แต่หากเชื้ออะแคนทามีบาเข้าสู่ระบบเลือด อาจก่อเกิดโรคสมองอักเสบ และอาจเสียชีวิตในที่สุด”พญ.อัจฉรา กล่าวและว่า นอกจากนี้ยังมี ไมโครสปอริเดีย หรือ ปรสิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเช่นเดียวกับ อะแคนทามีบา ผู้ติดเชื้อจะเกิดอาการท้องเสียเป็นน้ำ และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อีกทั้ง ยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอุจจาระร่วง ดังนั้น หากมีอาการผิดปกติหลังจากสัมผัสน้ำหรือการใช้น้ำ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที