หมอรามาฯ ยกงานวิจัยเวียดนามชี้ชัด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เป็นอันตรายต่อวัยรุ่น จี้รัฐเร่งปราบปราม
วันนี้ (22 กรกฎาคม 2567) รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล (รพ.) รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า มีรายงานจากศูนย์พิษวิทยาของ รพ.Hanoi’s Bach Mai ประเทศเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พบสถิติเด็กวัยรุ่นเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจากสารพิษของบุหรี่ไฟฟ้า
จากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงกว่า 100 ราย และข้อมูลจากทั่วประเทศเวียดนาม พบผู้ป่วยที่รักษาด้วยอาการที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เช่น โรคปอดอักเสบ ภูมิแพ้ และได้รับสารพิษกว่า 1,200 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาหลายเท่าตัว เมื่อแพทย์นำตัวอย่างบุหรี่ไฟฟ้าที่เด็กสูบมาตรวจ พบข้อมูลที่น่าตกใจคือ ร้อยละ 13 พบมีการนำยาเสพติดมาผสมในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า เช่น สารคานาบินอยด์สังเคราะห์ หรือ ADB-Butinaca ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ตามกฎหมายไทย รวมทั้งสารสกัดกัญชา และยาเสพติดอื่นๆ ซึ่งการเสพสารเสพติดกลุ่มนี้มีอันตรายถึงชีวิต คือ หมดสติ ชัก อวัยวะภายในล้มเหลว สมอง หัวใจ ปอดไม่ทำงาน
“ข้อมูลจากศูนย์พิษวิทยาเวียดนามสอดคล้องกับข่าวในประเทศไทย ที่มีการจับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวเวียดนามที่คิดค้นสูตรยาเสพติดที่ใช้ผสมในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ขณะหนีมากบดานที่ประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เด็กและวัยรุ่นมักจะเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้า ไม่เสพติดและมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว บุหรี่ไฟฟ้าทั้งเสพติดและอันตราย นอกจากบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดตัวเดียวกับบุหรี่ธรรมดาแล้ว บุหรี่ไฟฟ้ายังสามารถดัดแปลงเป็นอุปกรณ์เพื่อเสพสิ่งเสพติดอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงไม่ใช่อุปกรณ์ช่วยเลิกบุหรี่ แต่เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เด็กเริ่มสูบบุหรี่และสิ่งเสพติดอื่นๆ” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ กล่าวว่า หากพิจารณาในภาพรวม บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายมากกว่าบุหรี่มวน ซึ่งสถิติการป่วยจากบุหรี่ไฟฟ้า และความสัมพันธ์ของวัยรุ่นเวียดนามที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ากับการใช้ยาเสพติดอื่นๆ
“สนับสนุนความเห็นที่นักวิชาการหลายฝ่ายยืนยันมาตลอดเวลาว่า อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้มีเฉพาะทำให้เกิดโรคทางกาย ที่เกิดกับปอด หัวใจ และอวัยวะอื่นๆ ตามที่บริษัทบุหรี่และเครือข่ายล็อบบี้ยิสต์ พยายามจำกัดวงให้ถกเถียงกันเฉพาะด้านสุขภาพกายเท่านั้น โดยไม่มีการพูดถึงอันตรายในเด็กที่เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่อายุน้อย ที่จะได้รับนิโคตินปริมาณมากไปทำอันตรายต่อสมองที่กำลังเจริญเติบโต เกิดการเสพติดนิโคตินตั้งแต่อายุน้อยๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต การเรียนรู้ และยังนำเด็ก เยาวชนไปสู่การใช้ยาเสพติดชนิดอื่นๆ ซึ่งกรณีของไทย การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนอายุน้อยจะยิ่งเพิ่มปัญหาความรุนแรงของยาเสพติดขึ้นไปอีก” ศ.นพ.ประกิต กล่าวและว่า ผลการสำรวจคะแนน PISA ของนักเรียนไทยตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง การห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และปราบปรามผู้ที่ลักลอบขายตามช่องทางต่างๆ อย่างจริงจัง เพื่อป้องกันและลดการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็ก จึงเป็นงานเร่งด่วนที่หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายต้องดำเนินการ