ไทย 1 ใน 5 ประเทศแรกของโลก ปลอด ‘ไขมันทรานส์’ ห้ามผลิต นำเข้า จำหน่ายอาหารมีส่วนผสม
วันนี้ (2 สิงหาคม 2567) ภก.เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ไขมันทรานส์เกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนในน้ำมัน เพื่อเปลี่ยนสภาพน้ำมันให้เป็นไขมันที่มีสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลว เช่น เนยเทียม เนยขาว ฯลฯ ทำให้มีอายุการเก็บรักษานานขึ้น ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่า กรดไขมันทรานส์ให้ผลร้ายต่อสุขภาพ เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงเสียชีวิต ร้อยละ 28 ความเสี่ยงในการเกิดโรค ร้อยละ 21 และพบการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวสูงถึง 500,000 รายต่อปี
“สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงร่วมกับสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินโครงการประเทศไทยปลอดไขมันทรานส์ โดยหลังจากการออกประกาศห้ามผลิต นำเข้า จำหน่าย น้ำมันหรืออาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (ไขมันทรานส์) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2562 โดย อย.ได้ดำเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหารอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการฝ่าฝืนกฎหมาย อีกทั้งมีการรณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับอันตรายของไขมันทรานส์ ให้ผู้บริโภคอ่านฉลากโภชนาการก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ว่า เป็น 1 ใน 5 ประเทศแรกของโลก ที่กำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมอาหารได้สำเร็จ และเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีนโยบายแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best-practices) ในการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้นแบบการพัฒนาที่ดีให้แก่ประเทศอื่นทั่วโลก” ภก.เลิศชายกล่าว
รองเลขาธิการ อย.กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดปริมาณไขมันทรานส์ในอาหาร เป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ช่วยให้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสุขภาพ ลดความเสี่ยงของอุบัติการณ์เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจจากไขมันทรานส์ ลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ส่งผลให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีด้านการดูแลสุขภาพของประชาชน เป็นแบบอย่างในการกำจัดไขมันทรานส์ ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารไทยน่าเชื่อถือและมีโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังคงเดินหน้าดำเนินการเฝ้าระวังปริมาณไขมันทรานส์ในอาหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้มั่นใจว่าจะได้รับประทานอาหารที่มีความปลอดภัยต่อไป