ไทย 1 ใน 3 ยังต้องการวัคซีนโควิดหากฉีดฟรี! นักวิชาการแนะสื่อสารต่อเนื่องเพิ่มเชื่อมั่น
วันนี้ (20 สิงหาคม 2567) เครือข่ายมหาวิทยาลัยสุขภาพหนึ่งเดียวแห่งประเทศไทย หรือ THOHUN (Thailand One Health University Network) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นคนไทยต่อวัคซีนโควิด-19 ระบุว่า กว่า 1 ใน 3 ของประชาชนยังต้องการรับวัคซีนหากมีบริการฟรี และส่วนใหญ่เห็นว่า ยังจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนสำหรับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยง 608 เพื่อเตรียมพร้อมหากมีการระบาด หรือโรคที่มีแน้วโน้มอันตรายมากขึ้น โดยปัจจัยที่ทำให้ประชาชนลังเลในการรับวัคซีน มาจากความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงและประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งนักวิชาการแนะนำว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาด การสื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่องในเรื่องความสำคัญ และความปลอดภัยของวัคซีนยังคงเป็นเรื่องจำเป็น
ทั้งนี้ ผลการสำรวจในหัวข้อ “ความรู้ ความเข้าใจ การเข้าถึงข้อมูล และปัจจัยที่มีผลต่อการรับวัคซีนโควิด 19 ของประชาชนและกลุ่ม 608” ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นของบุคคลทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 550 คน ผ่านแบบสอบถามออนไลน์และการสัมภาษณ์ พบว่า ประชาชนทั่วไปมีการรับรู้ที่ดีถึงดีมากเกี่ยวกับอาการของโรคโควิด-19 การปฏิบัติตนเมื่อติดเชื้อ และกลุ่มที่มีความเสี่ยง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังคงติดตามข่าวสาร เช่น สถานการณ์และความรุนแรงของโรคระบาดในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของไวรัส โดยเลือกรับข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และบางส่วนติดตามข้อมูลจากบุคคลที่มีชื่อเสียง
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 1 ใน 3 หรือ ร้อยละ 39 มีความต้องการที่จะเข้ารับวัคซีน หากมีบริการฟรีให้แก่ประชาชน มีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้นที่ต้องการฉีดวัคซีนหากมีค่าใช้จ่าย และส่วนมากเห็นว่า ยังมีความจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนให้แก่บุคลากรด่านหน้าและกลุ่มเปราะบาง เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับการระบาดของโรคใหม่ หรือโรคอุบัติซ้ำที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยร้อยละ 74 เห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์ยังควรได้รับวัคซีน ขณะที่ราวร้อยละ 60 มองว่า ผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี และผู้มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนเช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการวัคซีนโควิด-19 และการให้บริการฟรีให้แก่ประชาชน ในส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่ลังเลในการรับวัคซีน มีเหตุผลหลักๆ จากความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง และไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีน ดังนั้น การสื่อสารข้อเท็จจริงด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ และความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
รศ.แสงเดือน มูลสม ผู้ประสานงานเครือข่ายมหาวิทยาลัยสุขภาพฯ และอาจารย์ประจำคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า การเตรียมความพร้อมด้านวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยง 608 ควรต้องทำควบคู่ไปกับการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับบทบาทของวัคซีน โดยเครือข่ายมหาวิทยาลัยสุขภาพฯ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายใน 3 แนวทาง
1.สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของวัคซีนในการป้องกันการป่วยหนักและการเสียชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ซึ่งหน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น
องค์การอนามัยโลก ยังคงแนะนำให้รับวัคซีนเป็นประจำทุกปี เนื่องจากไวรัสโควิด-19 มีการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว และภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนจะลดลงตามเวลา
2.จัดหาและสำรองวัคซีนให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเตรียมรับมือหากสถานการณ์แพร่ระบาดรุนแรงขึ้น
3.ประสานความร่วมมือในการคัดกรอง และตรวจสอบข้อมูลเท็จ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังจากภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานทางการแพทย์ และภาคสื่อสารมวลชน เพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันที่ดีในการรับข่าวสารด้านสุขภาพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีของประชาชนทั้งประเทศ
“แม้ปัจจุบันโรคโควิด-19 จะถือเป็นโรคประจำถิ่น แต่รายงานของกรมควบคุมโรค พบว่า ยอดผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งขึ้นตามฤดูกาล โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการหนัก และต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงมีผู้เสียชีวิตเช่นกัน หน่วยงานด้านสาธารณสุขจึงยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและบริหารความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศไทย โดยการสำรวจในครั้งนี้ นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจของประชาชนแล้ว ยังมุ่งหวังที่จะสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการออกแบบการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และการวางแผนการป้องกันโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย” รศ.แสงเดือน กล่าว