ผลวิจัย ’30 บาทรักษาทุกที่’ จว.นำร่อง ชี้ลด ‘เวลา-ค่าใช้จ่าย’ จริง! แนะเชื่อมข้อมูลสุขภาพ
วันนี้ (8 กันยายน 2567) ภญ.ปฤษฐพร กิ่งแก้ว หัวหน้าฝ่ายวิจัยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย “การประเมินผลเชิงพัฒนานโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวในพื้นที่นำร่อง” เปิดเผยว่า
ได้ดำเนินการวิจัยประเมินผลเชิงพัฒนาฯ เพื่อประเมินผลลัพธ์ของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ฯ และพัฒนาข้อเสนอแนะในการปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยเน้นศึกษาผลสำเร็จ ปัญหา อุปสรรค ของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ในจังหวัดนำร่อง ใช้ “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” (Theory of Change: TOC) เป็นหนึ่งในเครื่องมือการมองเป้าหมายของนโยบาย และใช้การสำรวจและการสัมภาษณ์ประชาชน ผู้ให้บริการและภาคส่วนต่างๆ ในการวัดผลลัพธ์และปัจจัยความสำเร็จ จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบายในบางส่วน โดยเฉพาะการลดเวลารอคอย ลดการเดินทาง ลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะต้นทุนในการรับบริการ ที่คำนวณจากค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเดินทาง ค่าบริโภค ค่าที่พักกรณีรับบริการต่างจังหวัด รวมไปถึงค่าเสียโอกาสจากขาดงานของผู้ป่วยและญาติ ฯลฯ
ภญ.ปฤษฐพรกล่าวว่า จากการสำรวจประชากรทั้งในและนอกจังหวัดนำร่อง จำนวน 1,618 คน พบว่า ประชาชนในพื้นที่นำร่องมีต้นทุนในการรับบริการอยู่ที่ 515 บาท ขณะที่ผู้ที่อยู่นอกพื้นที่จะอยู่ที่ 660 บาท ถือว่านโยบายช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มากไปกว่านั้น ยังพบว่าประชาชนในพื้นที่นำร่องมีทักษะและความรู้เรื่องของการใช้เทคโนโลยีมากกว่านอกพื้นที่นำร่อง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการที่นโยบายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี เปรียบเสมือนเป็นโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น การดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” การวิดีโอคอล
“แม้จะมีบางส่วนที่บรรลุเป้าหมาย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่อาจจะยังต้องพัฒนา เช่น ตัวชี้วัดสำหรับผู้ให้บริการที่จะต้องให้ผู้รับบริการลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสุขภาพ (Personal Health Record หรือ PHR) ของประชาชน หรือแม้แต่การสื่อสารเกี่ยวกับหน่วยบริการที่ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมา ผู้ปฏิบัติงานต้องเร่งทำยอดแล้ว อาจมีการสื่อสารข้อมูลบางส่วนที่ตกหล่น การสื่อสารที่ไม่ครอบคลุมประโยชน์ที่แท้จริงของนโยบาย ประชาชนอาจไม่ทราบถึงประโยชน์การลงทะเบียน และประโยชน์จากการดูข้อมูลสุขภาพของตนเอง” ภญ.ปฤษฐพรกล่าว
หัวหน้าฝ่ายวิจัยฯกล่าวว่า ขณะที่หน่วยบริการนวัตกรรมบางแห่งยังมีความกังวลเรื่องอัตราการจ่าย ที่คุ้มทุนการทำงาน และที่มาของแหล่งเงินสนับสนุน รวมถึงระบบข้อมูลที่มีความหลากหลาย ทั้งระบบเบิกจ่าย และระบบบริหารจัดการ ซึ่งจากข้อค้นพบนำมาสู่ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา เช่น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ควรจะต้องมีการปรับตัวชี้วัดในส่วนของการลงทะเบียนพิสูจน์ตัวตนให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ และแบ่งงานออกเป็นระยะ เพื่อลดความกดดันของผู้ปฏิบัติ รวมถึงควรมีระยะเวลาเพียงพอในการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ และรู้ความสำคัญของการลงทะเบียน และ PHR ของตนเอง รวมถึง สธ.ควรพัฒนารูปแบบการบริการ และตัวชี้วัดสำหรับการเข้าถึงข้อมูล PHR ที่เหมาะกับกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีปัญหาสัญชาติ หรือผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งปัจจุบัน สธ.ได้ยกเลิกตัวชี้วัดนี้แล้ว เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีระยะเวลาเพียงพอที่จะสื่อสารนโยบายนี้อย่างครบถ้วน
“นอกจากนี้ ควรมีการดูความพร้อม และความเสถียรของแพลตฟอร์มในการเก็บข้อมูลสุขภาพ หากต้องมีการขยายบริการและพื้นที่ดำเนินงาน ขณะเดียวกัน ยังเสนอให้มีการจัดทำตัวชี้วัดการเชื่อมโยงข้อมูล ให้สามารถเชื่อมกับหน่วยบริการนวัตกรรมนอกเหนือจากสังกัด สธ.ด้วยเช่นกัน ยังมีข้อเสนอต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการสร้างแรงจูงใจต่อหน่วยบริการนวัตกรรมให้เหมาะสม และยั่งยืน ที่ไม่ใช่แค่การเบิกจ่าย แต่ยังรวมถึงการพัฒนาระบบการบันทึกที่ง่าย และเสนอให้ สปสช.ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่กำกับดูแลคุณภาพสถานบริการ ให้มีระบบควบคุมคุณภาพ และตรวจสอบการใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมด้วย” ภญ.ปฤษฐพรกล่าว และว่า ยังมีข้อเสนอถึงหน่วยบริการที่ยังไม่ร่วมโครงการ ให้เตรียมพร้อมในระยะถัดไปผ่านหลักการ “SHARE”
ที่ประกอบด้วย S (Security) เตรียมความพร้อมมาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศของหน่วยบริการ เพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ สธ. กำหนด H (Health Electronics) เตรียมความพร้อมการให้บริการด้านอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งระบบยา ระบบนัดหมาย ระบบคิวที่ควรต้องมีการวางแนวทางชัดเจน A (Awareness) สร้างความตระหนักรู้ในพื้นที่ ทำป้ายประชาสัมพันธ์ อบรมผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล สำหรับสื่อสารนโยบายแก่ประชาชน R (Registration) เตรียมความพร้อมการลงทะเบียนด้านอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการลงทะเบียนพิสูจน์ตัวตน เช่น เครื่องอ่านบัตร ตู้คีออส และ E (Equipment) เพื่อการติดตามการสำรองยา และเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะหน่วยบริการขนาดใหญ่ที่มีผู้มารับบริการเป็นจำนวนมาก