เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ชี้ วิกฤตอุทกภัย คือบทสรุปความล้มเหลว ในการรับมือภาวะโลกรวน
วันที่ 24 กันยายน นายกฤษฎา บุญชัย ผู้ประสานงานเครือข่าย Thai Climate Justice for All และ เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวถึงประเด็น วิกฤตอุทกภัยภาคเหนือและอีกหลายภาค คือบทสรุปความล้มเหลวรัฐไทยในการรับมือภาวะโลกรวน ระบุว่า
เริ่มตั้งแต่ระบบการจัดการทรัพยากรด้วยการรวมศูนย์รัฐและกลไกตลาดที่ลุกเข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างไม่ยั่งยืนทำให้ระบบนิเวศเปราะบาง พังทลาย ไม่สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ ระบบนิเวศที่สมบูรณ์เฉพาะจุดอย่างเช่นชุมชนกะเหรี่ยงบ้านหินลาดในอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบของการจัดการทรัพยากรที่ดีที่สุดของประเทศไทย ก็ยังโดนอุทกภัยอย่างรุนแรง
นายกฤษฎา กล่าวว่า ระบบเตือนภัยพิบัติที่ล้มเหลวที่ไม่สามารถประมวลคาดการณ์และให้ประชาชนรู้ตัวล่วงหน้าอย่างเท่าทันสถานการณ์จึงทำให้ชุมชนอยู่ในภาวะเสี่ยงไม่สามารถรับมือได้ทันท่วงที ระบบโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นฝาย เขื่อน คลองพื้นที่รับน้ำ สะพาน ถนน การก่อสร้างเมือง…ทั้งหมดล้วนแต่ไม่สอดรับกับภาวะโลกรวนที่กำลังรุนแรงขึ้น กลายเป็นพื้นที่ที่ยิ่งเปราะบางมากขึ้น
นอกจากนี้ ระบบการรวมศูนย์อำนาจ ขาดการกระจายอำนาจการบริหารทรัพยากรและการตัดสินใจ ทำให้ท้องถิ่น ขาดความพร้อมและทรัพยากรในการจัดการภัยพิบัติได้เพียงพอ ทำให้รอรับหายนะและรอพึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐบาลส่วนกลางและการบริจาคจากสาธารณะ
“ขณะนี้ความช่วยเหลือจากสาธารณะต่างๆพยายามพุ่งไปช่วยเหลือชุมชนไม่ว่าจะเป็นปัจจัยยังชีพช่วยกู้วิกฤตชีวิตบ้านและทรัพย์สินตลอดจนช่วยเรื่องของการฟื้นฟูด้านอาหารการฟื้นระบบเกษตรฟื้นทรัพยากรกลับขึ้นมา แต่หากขาดระบบรองรับขาดสิทธิและอำนาจที่ชุมชนที่จัตัดสินใจและมีส่วนร่วม ก็จะทำได้เพียงแค่ไฟไหม้ฟาง หลังการฟื้นฟูกลับมาสิทธิของชุมชนต่อนิเวศน์ทรัพยากร ถิ่นที่อยู่อาศัย การดำรงชีพ วัฒนธรรม เศรษฐกิจจะถูกรุกคืบ ถูกจัดระเบียบ ที่อาจเป็นไปในทางไม่ยอมรับวิถีชีวิตและสิทธิของชุมชนยิ่งขึ้นนั่นจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมวิกฤตของชุมชนให้รุนแรงยิ่งขึ้นไป”เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าว
นายกฤษฎา กล่าวว่า แล้วรัฐเตรียมอะไรกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงเช่นนี้ แผนแม่บทการปรับตัวสภาพผู้มีอากาศที่เพิ่งผ่านคณะรัฐมนตรีไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ก็แทบไม่มีผลอะไรเลยจากปัญหาระบบรวมศูนย์ทำงานจากบนลงล่างและทำแยกส่วน ภาครัฐและเอกชนมัวแต่หมกมุ่นเรื่องคาร์บอนเครดิตที่กลายเป็นกระบวนการฟอกเขียว และหลอกลวงประชาชนครั้งใหญ่ เม็ดเงินการลงทุนเหล่านี้เป็นไปเพื่อส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมที่ยังทำลายนิเวศปล่อยคาร์บอนให้เติบโตต่อไปแต่ไม่มีส่วนช่วยอะไรเลยกับประชาชนที่อยู่ในภาวะวิกฤตครั้งนี้
มีผู้คนที่ถูกหลงลืม ไม่ว่าชนเผ่าพื้นเมืองชุมชนท้องถิ่น เกษตรกรรายย่อย คนจน คนเปราะบางต่าง ๆ ที่ไม่มีตัวตนอยู่ในนโยบายและแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ถึงเวลาที่สังคมทั้งหมดจะต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ่านทางโครงสร้างให้เกิดความเป็นธรรมและความยั่งยืน ทั้งกระจายอำนาจ คุ้มครองสิทธิชุมชนและประชาชน สร้างความเข้มแข็งชุมชนให้มีภูมิคุ้มกันรับมือกับสภาพภูมิอากาศ
เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวว่า ท่ามกลางความเสียหายขนาดนั้นต้องดึงเอาผู้มีส่วนก่อคาร์บอนรายใหญ่และทำลายระบบนิเวศของประเทศ ทั้งอุตสาหกรรมฟอสซิลอุตสาหกรรมเกษตร มาร่วมรับผิดชอบต่อสภาพการที่เกิดขึ้น พร้อมกับเลิกวาทกรรม นโยบายฟอกเขียวไม่ว่าจะเป็นการชดเชยคาร์บอน ตลาดคาร์บอน คาร์บอนเครดิต Net zero…
“ควร ใช้วิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่นี้เปลี่ยนผ่านสังคมนิเวศน์เศรษฐกิจนักการเมืองที่เกิดความเป็นธรรมต่อสิทธิเสรีภาพ เสริมอำนาจของชุมชนและประชาชน ทบทวนหรือถอนโครงสร้างโครงการนโยบายการพัฒนาการจัดการทรัพยากรผังเมืองอุตสาหกรรมและอื่นๆที่พาเราเข้าไปสู่วิกฤตที่รุนแรง วิกฤตโลกรวยไม่ได้จบแค่รอบนี้ แต่จะรุนแรงยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ยากคาดการณ์ได้ ต้องลงมือทำทันที ถ้ารัฐไม่ขยับ เอกชนไม่ขยับ ประชาชนเราเริ่มต้นขยับก่อนเลยครับ”นายกฤฎา กล่าว