‘สมศักดิ์’ ขออย่ากังวล ‘โรคไอกรน’ หลังระบาดใน สาธิต มศว ปทุมวัน จนต้องปิดเรียน 2 สัปดาห์

‘สมศักดิ์’ ขออย่ากังวล ‘โรคไอกรน’ หลังระบาดใน สาธิต มศว ปทุมวัน จนต้องปิดเรียน 2 สัปดาห์

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ประกาศหยุดการเรียนการสอน 2 สัปดาห์ จากโรคไอกรนระบาดว่า ตนได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ระยะแรกพบผู้ป่วยเป็นเด็กมัธยม 5 ราย ในช่วงวันที่ 16 กันยายน-25 ตุลาคม โดยทุกรายฉีดวัคซีนครบ สงสัยการระบาดเริ่มจากทีมบาสเกตบอลของโรงเรียน หลังจากการสอบสวนโรค เมื่อวันที่ 4-8 พฤศจิกายน พบเพิ่มอีก 20 ราย ซึ่งสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) และกรมควบคุมโรค ส่งทีมสอบสวนโรคหาปัจจัยเสี่ยง คัดกรองผู้ป่วย ผู้สัมผัสใกล้ชิด ติดตามผู้ป่วย ให้ยาป้องกันในกลุ่มเสี่ยง ประเมินสถานการณ์การระบาดร่วมกัน ประสานสถานศึกษาเพื่อคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วย พร้อมทั้งทำความสะอาดโรงเรียนตามมาตรฐานสุขอนามัยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องพ่นฆ่าเชื้อ เนื่องจากโรคไอกรนแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอจามเป็นหลัก

นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า หลักสำคัญคือ ต้องจัดระบบระบายอากาศในห้องเรียนให้เหมาะสม พร้อมกันนี้ ควรตรวจสอบประวัติการรับวัคซีนของนักเรียนและบุคลากร ประชุมวางแผนมาตรการกับทางโรงเรียน สื่อสารความเสี่ยง ปรับรูปแบบการเรียน ประสานหน่วยงานกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เพื่อเฝ้าระวังผู้ป่วยรายใหม่ และติดตามข้อมูลสถานการณ์ของผู้สัมผัสใกล้ชิดในเหตุการณ์นี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม

“ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลมากเกินไป เนื่องจากเด็กไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ได้รับวัคซีนครบถ้วน โอกาสเกิดโรครุนแรงจึงมีน้อยมาก อย่างไรก็ตาม โรงเรียนยังคงต้องเฝ้าระวังและคัดกรองนักเรียนที่มีอาการไออย่างต่อเนื่อง เพราะระยะฟักตัวของโรคอาจนานถึง 21 วัน ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่ผู้ปกครองจะทบทวนประวัติวัคซีนของบุตรหลาน โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนกระตุ้นในเด็กวัยประถมปลาย ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรครุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำว่าในทุกครั้งที่มีการเจ็บป่วยให้นำสมุดบันทึกการฉีดวัคซีนไปพบแพทย์ทุกครั้งเพื่อหารือ เผื่อในกรณีที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบ หรือมีวัคซีนใหม่ๆ ขึ้นมาจะได้เพิ่มโอกาสที่บุตรหลานจะได้รับการป้องกันโรคอย่างเหมาะสม” นายสมศักดิ์กล่าว

ADVERTISMENT

นายสมศักดิ์กล่าวว่า สำหรับข้อมูลโรคไอกรน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ ติดต่อผ่านการไอ จาม มีอาการคล้ายหวัดทั่วไปในช่วงแรก หลังจาก 1-2 สัปดาห์ จะไอรุนแรง ไอเป็นชุดๆ ในบางรายอาจหยุดหายใจและเสียชีวิต ดังนั้น กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบ ถุงลมอุดกั้น เฝ้าระวังอาการ หากมีอาการเข้าได้ให้รีบไปพบแพทย์ กลุ่มที่เคยได้รับวัคซีนแล้ว เช่น เด็กโต กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวระบบทางเดินหายใจ ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มที่จะถ่ายทอดไปให้บุตรได้ เนื่องจากวัคซีนไอกรนจะเริ่มให้เมื่อเด็กอายุ 2 เดือน ดังนั้นช่วงแรกเกิดถึง 2 ปี จะยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม ยังคงให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพื่อลดการถ่ายทอดโรคเชื้อระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้รัฐสนับสนุนวัคซีนไอกรน ฉีดในเด็กทุกคน เข็มแรกตั้งแต่อายุ 2 เดือน ต้องฉีดรวม 5 เข็ม แต่ภูมิคุ้มกันจะลดเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image