สธ.เผยสถิติ 5 ปี จมน้ำคืนลอยกระทง 11 ราย แนะร่วมกิจกรรมปลอดภัย ไม่สร้างขยะ

 สธ.เผยสถิติ 5 ปี จมน้ำคืนลอยกระทง 11 ราย แนะร่วมกิจกรรมปลอดภัย ไม่สร้างขยะ

วันนี้ (14 พฤศจิกายน 2567) นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันลอยกระทงปีนี้ ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน ซึ่งทุกปีจะเกิดอุบัติเหตุคนจมน้ำเสียชีวิต โดยข้อมูลการเฝ้าระวังการจมน้ำในคืนลอยกระทงของกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2562-2566) มีคนจมน้ำเสียชีวิตรวม 11 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำสุด 10 ปี และอายุสูงสุด 62 ปี สาเหตุการจมน้ำที่พบมากที่สุด คือ เก็บเงินในกระทง 6 ราย สาเหตุรองลงมาคือ พลัดตก เมาสุรา เรือล่ม กระโดดลงไปช่วย

“กรมควบคุมโรคได้เน้นย้ำมาตรการสำหรับประชาชนในการป้องกันการจมน้ำเพื่อป้องกันการสูญเสียคนในครอบครัวที่คุณรักจากอุบัติเหตุการจมน้ำ คือ ไม่เมา ไม่เก็บ ไม่ปล่อยเด็กตามลำพัง ไม่เมา คือ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงวันลอยกระทง หากดื่มควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ หรือลงไปในแหล่งน้ำ ไม่เก็บ คือ ไม่แนะนำให้ลงน้ำไปเก็บเงินในกระทง เพราะน้ำเย็นอาจทำให้เป็นตะคริวเสี่ยงจมน้ำได้ และไม่ปล่อยเด็กตามลำพัง ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เด็กต้องอยู่ในระยะที่แขนเอื้อมถึง และไม่ให้เด็กลอยกระทงกันเอง และขอเชิญชวนให้ทุกคนลอยกระทงโดยไม่ใส่เงินลงไปในกระทง” นพ.ภาณุมาศ กล่าว

นพ.ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขอความร่วมมือสำหรับหน่วยงานที่จะจัดงานลอยกระทงในปีนี้ให้ยึดหลัก 3 เตรียม คือ 1.เตรียมพื้นที่ให้ปลอดภัย กั้นพื้นที่สำหรับลอยกระทง ติดป้ายเตือนบริเวณพื้นที่เสี่ยง มีผู้ดูแลและช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน 2.เตรียมชูชีพ สำหรับผู้โดยสารเรือทุกคนและไม่บรรทุกเกินจำนวน 3.เตรียมอุปกรณ์ บริเวณแหล่งน้ำที่จัดงานเป็นระยะ เพื่อช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน เช่น ห่วงชู ชีพ ไม้ ถัง แกลลอนผูกเชือก นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำในการป้องกันการบาดเจ็บจากพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ 1.ห้ามให้เด็กจุดพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟด้วยตนเอง 2.ไม่เก็บประทัดไว้ในกระเป๋าเสื้อ กางเกง 3.ไม่จุดประทัดซ้ำหากจุดแล้วไม่ติด 4.ห้ามโยนพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟใส่ผู้อื่น 5.ออกห่างจากบริเวณที่จุดประทัด ดอกไม้ไฟ หรือพลุ 6.ควรเตรียมภาชนะบรรจุน้ำไว้ใกล้ๆ ไว้ใช้กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน

“หากพบเห็นหรือเกิดอุบัติเหตุสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ 1.ถอดเสื้อผ้า เครื่องประดับที่ติดไฟออก 2.หากเกิดแผลไหม้ ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดประคบหรือเปิดน้ำไหลผ่านบาดแผล แล้วปิดด้วยผ้าสะอาด 3.หากบาดเจ็บที่ดวงตาให้ล้างด้วยน้ำสะอาดทันที หากมีบาดแผลฉีกขาดหรืออวัยวะขาด โทร.1669 และรีบส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” นพ.ดิเรก กล่าว

ADVERTISMENT

ด้าน นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า หลังวันลอยกระทงสิ่งที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
คือ ซากกระทงจำนวนมาก จากสถิติของสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร (กทม.) พบว่า ปริมาณกระทงที่เก็บได้ในปี 2566 เฉพาะในกรุงเทพฯ รวมทั้งหมด 639,828 ใบ แบ่งเป็น กระทงจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ต้นกล้วย ใบตอง 618,951 ใบ หรือร้อยละ 96.7 และกระทงจากโฟม 20,877 ใบ หรือร้อยละ 3.2 ซึ่งสัดส่วนของกระทงโฟมลดลงจากปีที่ผ่านมา จากการรณรงค์ให้ประชาชนใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่สุดท้ายกระทงที่ถูกนำมาลอยจะถูกเก็บเพื่อนำไปกำจัด โดย กทม. หรือ หน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก รวมถึงกระทงขนมปังที่นำมาลอย เพื่อเป็นอาหารปลา หากมีจำนวนมากเกินไปจะทำให้น้ำเน่าเสียได้ ส่วนกระทงที่ทำจากโฟม เป็นวัสดุที่ย่อยสลายยากในธรรมชาติ หลายคนเชื่อว่าสะดวกดี ลอยน้ำได้ง่าย แต่อาจไปอุดตันตามท่อ กีดขวางทางน้ำ เป็นขยะที่มีสารพิษและมีส่วนทำให้โลกร้อน

“จากผลสำรวจอนามัยโพลของกรมอนามัย ปี 2566 ผู้ตอบแบบสำรวจ 473 คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 85.8 มีแผนจะไปลอยกระทง โดยร้อยละ 39.7 เลือกใช้กระทงที่ทำจากวัสดุย่อยสลายได้ เช่น ใบตอง กาบกล้วย ใบไม้ ดอกไม้ ในขณะที่ร้อยละ 24.3 เลือกใช้การลอยกระทงออนไลน์ และร้อยละ 18.6 ลอยกระทง
1 ใบต่อ 1 ครอบครัว ดังนั้น เทศกาลลอยกระทงในปีนี้ จึงเชิญชวนให้ประชาชนลอยกระทงรักษ์โลก
แบบไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย 5 วิธี 1.เลือกใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่มีสารก่อมลพิษต่อแหล่งน้ำ เช่น ทำจากต้นกล้วย หยวกกล้วย ใบตอง 2.เลือกใช้วัสดุย่อยสลายได้ไว มีความสร้างสรรค์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น กระทงน้ำแข็งกระทงโคนไอศกรีม 3.เลือกกระทงขนาดเล็กใช้วัสดุน้อย ช่วยลดปริมาณขยะ 4.ลอยกระทงร่วมกัน เป็นการสานสัมพันธ์ที่ดี ช่วยลดขยะและประหยัดค่าใช้จ่าย และ 5.ลอยกระทงออนไลน์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ทั้งสะดวกปลอดภัย และลดปริมาณขยะแบบแท้จริง นอกจากนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนจำนวนมาก รวมถึงระวังอันตรายจากการเล่นพลุ ดอกไม้ไฟ” นพ.ธิติ กล่าว