โค้งสุดท้าย ร่างพ.ร.บ.คุมน้ำเมาฉบับใหม่จ่อเข้าสภา 5 ก.พ. นักวิชาการ-สสส. ย้ำ! กฎหมายต้องสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับผลกระทบทางสังคมด้วย ชี้มีข้อดีเพิ่ม แต่ห่วง ‘เปิดช่องกลุ่มทุนร่วมหวั่นเจือสมผลประโยชน์ ‘ตีเช็คล่วงหน้า’-ปลดล็อกตู้ขายอัตโนมัติ-ใช้ช่องโหว่ AI แทนบุคคลเพื่อการโฆษณา’ ด้านแพทย์หนุนใช้โทษเอาผิด ‘คนขาย’ ร่วมเป็นจำเลยทางแพ่ง หากขายให้คนเมาไปก่อปัญหาให้สังคม
เมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น จตุจักร มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง “ชำแหละร่าง พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์…สังคมไทยได้อะไร”
นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ด้านสื่อสารมวลชน (สสส.) เป็นประธานเปิดงานประชุม กล่าวว่า สถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทย โดยสำนักงานวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้ทำการศึกษาข้อมูลเมื่อปี 2566 พบว่า พฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย บริโภคสุราหรือเหล้าลดลง แต่ไปเพิ่มการบริโภคเบียร์ คิดสัดส่วนการบริโภคเบียร์ร้อยละ 73.5 ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด สาเหตุเกิดจากราคาถูกกว่าสุรา เข้าถึงได้ง่ายกว่า และคนมีความเข้าใจว่าการดื่มเบียร์เกิดผลกระทบน้อยกว่าการดื่มสุรา สอดคล้องกับข้อมูลการเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของกรมสรรพสามิต ระบุว่า ปี 2566 เก็บภาษีสุราได้ 57,682 ล้านบาท ขณะที่เก็บภาษีเบียร์ได้ถึง 86,480 ล้านบาท ต่อมาในปี 2567 เก็บภาษีสุราได้ 64,603 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.68 แต่เก็บภาษีเบียร์ได้ถึง 90,013 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.09 ฉะนั้นตัวเลขนี้สะท้อนภาพรวมของการบริโภคแอลกอฮอล์ในประเทศไทยได้ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งมาในธุรกิจเบียร์มากขึ้นศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า เหตุผลในการตรากฎหมายฉบับนี้คือแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ ครอบครัว อุบัติเหตุและอาชญากรรม ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมจึงเป็นการควบคุมไม่ใช่การส่งเสริม ภาพรวมของร่าง พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขถือว่าดีขึ้นในบางประเด็น เช่น การควบคุมการโฆษณาที่มีความชัดเจนเรื่องการควบคุมแบรนด์เสมือน แต่ก็ยังข้อมีห่วงใย โดยเฉพาะการเปิดช่องให้ตัวแทนเอกชน ไม่ว่าจะเป็น สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สมาคมด้านการท่องเที่ยว และตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีโอกาสที่คนกลุ่มนี้จะเจือสมผลประโยชน์ร่วมกัน
“หากเทียบกับ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 กำหนดชัดเจนว่า ห้ามผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในคณะกรรมการควบคุมฯ อย่างเด็ดขาด การเขียนข้อยกเว้นเปิดทางให้ตัวแทนภาคเอกชน ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นคณะกรรมการฯ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และโดยความเป็นจริง ก็มีส่วยร่วมเพียงการแสดงความคิดเห็น ให้ข้อข้อเท็จ หรือข้อเสนอแนะที่จำเป็น แต่ไม่ควรเข้ามาเป็นคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎร สามารถแก้ไขคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการโดยไม่อิงกับกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีและเป็นไปตามหลักการที่ดี แต่หากไม่สามารถทำได้ก็ไม่ต่างจากการตีเช็คล่วงหน้านั่นเอง หรือหากจะเข้ามาก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว
ด้าน รศ.ดร.วิทย์ วิชัยดิษฐ นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า ตนมีข้อกังวลที่อยากนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ 1.มาตรา 30 ที่อนุญาตให้มีเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น จากนี้คนไม่ต้องเข้าร้านสะดวกซื้ออีกต่อไป เพราะมีเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ ยากต่อการตรวจสอบอายุและประเมินภาวะมึนเมาของผู้ซื้อด้วย 2.มาตรา 29 ที่ระบุว่าห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้ที่มีภาวะมึนเมา โดยตัดคำว่า “ครองสติไม่ได้” ออกไปนั้น เป็นสิ่งที่ต้องตีความคำว่ามึนเมาด้วย เนื่องจากระดับความมึนเมาเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล บางคนอาจจะมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ กลับยังพูดคุยได้ปกติ แต่ไม่ได้แปลว่าสมรรถภาพของร่างกายจะเหมือนกับตอนที่ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3.มาตรา 32/2 การป้องปราบการโฆษณา ระบุว่า ห้ามคนดังทำการโฆษณา ซึ่งมีช่องโหว่ทางกฎหมาย เช่น บุคคลดังกล่าวไม่ได้เป็นคนดัง แต่วันหนึ่งมีวิดีโอที่ได้รับความสนใจมาก ทำให้คนเข้าไปติดตามเพิ่มขึ้น และวิดีโอเก่าๆ อาจจะมีการกระทำที่เข้าข่ายการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แบบนี้จะเกิดความผิดหรือไม่
“ข้อสำคัญการห้ามโฆษณาคือ ห้ามที่ตัวบุคคล แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยี AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาต่างๆ ได้เอง แต่ไม่ได้เป็นตัวบุคคลที่ทำการโฆษณา จะเกิดความผิดที่ผู้ใช้คำสั่ง AI อย่างไร รวมถึงกรณีห้ามโฆษณาในไทย แล้วกรณีที่มีบริษัทนายทุนจากต่างประเทศทำการโฆษณาเข้ามาในราชอาณาจักร จะถือเป็นความผิดตามกฎหมายฉบับนี้หรือไม่ เป็นสิ่งที่อยากฝากให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ตรากฎหมายเพื่อให้ครอบคลุม ลดการตีความ เพื่อให้การเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำได้น้อยที่สุด แต่คงไม่ถึงขั้นแบนไปเลย เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้มีสินค้าที่อยู่ใต้ดินเกิดขึ้นตามมาอีกมาก” รศ.ดร.วิทย์ กล่าวขณะที่ นพ.วิธู พฤกษนันต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า มาตรา 29 การห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเยาวชน และผู้ที่อยู่ในภาวะมึนเมา ซึ่งกฎหมายใหม่จะเกิดประโยชน์ทั้งกับผู้ขายและผู้ซื้อ ในแง่ของผู้ขายที่จะได้รับอำนาจในการตรวจสอบอายุผู้ซื้อตามบัตรประชาชน หลังจากนี้จะประเมินจากรูปลักษณะ หน้าตา หรือการแต่งกายไม่ได้ ต้องมีการตรวจสอบที่ชัดเจน ส่วนกรณีห้ามจำหน่ายให้ผู้ที่อยู่ในภาวะมึนเมา มีการเพิ่มวรรคที่ 2 ระบุให้อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ออกประกาศนิยามภาวะมึนเมาให้มีความชัดเจน ซึ่งอาจออกมาในลักษณะกฎหมายปิดปากอย่างที่กฎหมายจราจรระบุว่ากรณีเมาแล้วขับคือ ผู้ขับขี่มีปริมาณาแอลกอฮอล์ในร่างกายสูงมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีภาวะเมาหรือไม่ แต่ถ้าปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนดก็ถือว่าเมา
“ประโยชน์ของกฎหมายฉบับใหม่ต่อสังคมทั่วไป คือ วรรคที่ 3 ระบุถึงกรณีที่ผู้ดื่มแอลกอฮอล์ไปก่อเหตุต่อผู้อื่นนำมาสู่ความสูญเสียต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน ผู้ขายต้องร่วมมีความผิดในทางแพ่ง ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องผู้ขายให้ร่วมเป็นจำเลยได้ ซึ่งกรณีแบบนี้เกิดขึ้นแล้วในประเทศแคนนาดา และสหรัฐอเมริกา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างบ้านเราที่มีเหตุคนขับซาเล้งเมาแล้วขับรถชนคนตาย แต่ไม่สามารถชดใช้ค่าเสียหายได้ ต่อจากนี้ไป หากสืบทราบได้ว่าคนขับซาเล้งไปซื้อแอลกอฮอล์จากร้านไหนมาดื่มจนเมา ก็สามารถฟ้องร้านค้าให้ร่วมรับผิดเป็นจำเลยร่วมได้ ดังนั้น ร้านจำหน่ายจะต้องเพิ่มมาตรการส่วนตัวขึ้น เช่น ติดกล้องวงจรปิดบันทึกภาพการซื้อขาย การตรวจบัตรประชาชน การตรวจสอบภาวะมึนเมาของผู้ที่มาซื้อ” นพ.วิธู กล่าว