อธิบดีกรมอนามัยโชว์ ‘มุ้งสู้ฝุ่น’ ในสภาฯ ยันลด PM 2.5ได้จริง แจกแล้วกว่า 1.4 พันหลัง 35 จว.
วันนี้ (31 มกราคม 2568) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ PM2.5 ยังมีแนวโน้มเกินมาตรฐาน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน กรมอนามัย นอกจากการวางแนวทาง มาตรการ กฎหมาย เพื่อดูแลประชาชนในภาพรวมแล้ว การดูแลกลุ่มเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และผู้ป่วย 5 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคผิวหนัง โรคเยื่อบุตา โรคหอบหืด และโรคมะเร็งปอด หากได้รับสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในปริมาณมากและต่อเนื่อง จะทำให้อาการเจ็บป่วยรุนแรงได้
“ในปี 2567 มีข้อมูลผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กว่า 1,277,386 ราย และเด็ก 0-5 ปี อีกกว่า 309,956 ราย ทั่วประเทศ ที่เจ็บป่วยและมาเข้ารับการรักษาด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับการรับสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 พื้นที่ที่มี
ค่าฝุ่นสูง ไม่สามารถทำระบบปิดหรือห้องปลอดฝุ่นได้ มุ้งสู้ฝุ่น จึงเป็นแนวทางที่กรมอนามัยนำเสนอ เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดการสัมผัสและลดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 สามารถ ลดปริมาณ PM2.5 ภายในมุ้งได้ร้อยละ 30 – 75″ พญ.อัมพร กล่าว
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสดีที่เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ได้นำเสนอโครงการมุ้งสู้ฝุ่น แก่ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข และคณะกรรมการ สภาผู้แทนราษฎร ณ รัฐสภา เพื่อผลักดันและสนับสนุนโครงการมุ้งสู้ฝุ่นแก่ประชาชน เพื่อลดปริมาณการได้รับฝุ่น PM 2.5 รวมทั้ง อาการหรือการเจ็บป่วย และลดการไปเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ ที่ผ่านมา กรมอนามัยได้สนับสนุนมุ้งสู้ฝุ่นไปแล้วกว่า 1,400 ชุด กระจายใน 35 จังหวัด
“มุ้งสู้ฝุ่น ถือเป็นนวัตกรรมที่มีการพัฒนา และวิจัยโดย ผศ.ภาสกร แช่มประเสริฐ และคณะ
จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เป็นการประยุกต์ใช้หลักการทำห้องปลอดฝุ่น คือ กันฝุ่น กรองฝุ่น และดันฝุ่น มีการนำไปใช้ในบ้านเรือนที่ไม่สามารถปิดช่องว่าง หรือปิดหน้าต่างให้สนิท กลุ่มเปราะบางที่มีงบประมาณจำกัด โดยเฉพาะผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง อุปกรณ์ในการจัดทำมุ้งสู้ฝุ่น ประกอบด้วย 1.มุ้งผ้าฝ้าย เพราะมุ้งไนล่อนจะมีรูตาข่ายใหญ่กว่าทำให้อากาศสะอาดที่จะเติมเข้าไปรั่วได้ โดยใช้มุ้งผ้าฝ้ายเป็นการสร้างพื้นที่ปิดสำหรับสร้างพื้นที่สะอาด และ 2.เครื่องฟอกอากาศ หรือเครื่องฟอกอากาศ DIY ทำหน้าที่กรองฝุ่นจากภายนอกเข้ามาในมุ้งและดันฝุ่นและอากาศที่ไม่สะอาดออกจากมุ้ง ตามหลักการแรงดันบวก (Positive pressure) ทำให้พื้นที่ในมุ้งมีฝุ่นที่น้อยกว่าภายนอก จากการศึกษาประสิทธิภาพของการประยุกต์ใช้มุ้งผ้าฝ้ายใน จ.เชียงใหม่ จากการใช้จริงในบ้านเรือนกลุ่มเสี่ยง พบว่า มุ้งสู้ฝุ่นมีประสิทธิภาพการลดฝุ่น PM2.5 ลงร้อยละ 36.3 – 75.3 เมื่อนำไปทดลองในพื้นที่ที่แตกต่างกัน และค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 ภายในมุ้งผ้าฝ้ายน้อยกว่า 25 µg/m3 ซึ่งถือเป็นว่าเป็นประสิทธิภาพที่น่าพึงพอใจ ยอมรับได้” พญ.อัมพร กล่าว