หมอรพ.แม่สอด สะท้อนปัญหา ค่ายอพยพ จี้รัฐเร่งแก้ ชี้เรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณสุขท้องถิ่น

หมอเบียร์ รพ.แม่สอด สะท้อนปัญหา ค่ายอพยพ จี้รัฐเร่งแก้ ชี้ ไม่ใช่เรื่องสาธารณสุขท้องถิ่น แต่เป็นปัญหาระดับชาติ

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ แพทย์หญิงณัฐกานต์ ชื่นชม อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Nuttagarn Chuenchom สะท้อนปัญหาผู้อพยพชายแดน โดยระบุว่า

“ผู้บริหารบอกว่าให้หมอเบียร์รับตรวจเคสวัณโรคกับเอชไอวีในศูนย์อพยพ เพราะ รพช ไม่สามารถดูแลได้ จะให้รถโรงพยาบาลไปรับคนไข้เอามาให้ตรวจที่แม่สอด ..โดยไม่ดูภาระงานที่ทำอยู่ตอนนี้เลย

ไม่ผิดคาดนะ ที่จะเป็นแบบนี้ เบียร์คิดมาหลายวันแล้ว .. ให้เวลาอีกครึ่งวัน ถ้าผู้บริหารยังไม่เปลี่ยนแนวคิด จะไปเขียนใบลาออกราชการวันนี้แหละ อายุราชการ 20 ปีก็อุทิศตนมามากพอละ ไม่มีวินาทีไหนเลยที่ไม่ทำเพื่อผู้อื่น

ADVERTISMENT

บอกอยู่ตลอดว่าศูนย์อพยพเป็นเรื่องของประเทศไทย ไม่ใช่สาธารณสุขท้องถิ่น คนไทยชายแดนเสียประโยชน์มาเยอะแล้ว ได้รับบริการช้า เสียเวลารอนาน ยังต้องแบ่งหมอของพวกเขาไปให้คนอื่นอีกหรอ ส่วนกลางโน่นต้องมาจัดการ

ไม่ทนอีกต่อไป.. ลาก่อนละค่ะ”

ADVERTISMENT

“เรื่องของการจัดการค่ายผู้อพยพ ไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขท้องถิ่น มันเป็นเรื่องระดับชาติ เป็นเรื่องการจัดการของรัฐบาล การแก้ไขกฎหมาย การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศเดิม

ความเห็นของเบียร์ คือต้องจัดบุคลากรอีกชุดหนึ่ง เพื่อมาดูแลค่ายอพยพ ในช่วงเร่งด่วนแนะนำให้เขาหางบประมาณมาจ้างหมอเมียนมากลุ่มเดิมที่เคยดูแลอยู่แล้วระหว่างรองบประมาณใหม่ แต่เค้าไม่ทำแบบนั้น เค้ามาแบ่งหมอจากโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลทั่วไปไปออกตรวจ จำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดเท่ากับประชากรหนึ่งอำเภอเลย

ในระยะยาวต้องพูดคุยเรื่องการแก้กฎหมายผู้ลี้ภัยให้ถูกต้อง และมีการผลักดันกลับประเทศเดิม
คนไทยชายแดนเสียสละมามากพอแล้ว ทุกวันนี้บุคลากรก็ไม่พอ คนไข้ก็ต้องรอนาน รอทุกอย่างทั้งรอหมอและรอคิวในการตรวจ บางคนเป็นมะเร็งก็ต้องรอการวินิจฉัยและการรักษา แล้วจะมาให้เค้าเสียสละเพิ่ม โดยการแบ่งหมอของพวกเขาไปให้คนอื่นอีกหรอคะ”

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ หมอเบียร์ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

“เมื่อวานมีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์เรื่องภาระงานของหมอชายแดน เราก็ให้สัมภาษณ์ไปตามข้อเท็จจริงว่าสถานการณ์ปกติเราต้องดูแลคนไข้ในสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อคนไข้ 5,000 คนโดยประมาณ คนไข้มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย โดยเฉลี่ยคนไข้มาถึงโรงพยาบาลช้าอาการหนักเพียบ มีอุปสรรคเรื่องการสื่อสารต้องพูดคุยผ่านล่ามแปลไปแปลมา ทำให้ต้องใช้เวลาต่อคนไข้หนึ่งคนนานกว่าปกติ มีความซับซ้อนเรื่องสิทธิในการรักษาคนไข้ โรงพยาบาลต้องออกค่าใช้จ่ายในการรักษาปีละหลายสิบล้านบาท
โรงพยาบาลแม่สอดมีหมอทั้งหมด 80 คน มีอายุรแพทย์ 10 คน ผู้ป่วยนอกที่มารับบริการจำนวน 350,000 ครั้งต่อปี (visit) เฉพาะแผนกอายุรกรรมมารับบริการ 180,000 ครั้งต่อปี พวกเรามาราวน์ทุกวันไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ออกตรวจผู้ป่วยนอกทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ มีโอกาสได้ไปประชุม หรือไปพักผ่อนส่วนตัวน้อยมาก เนื่องจากงานตึงมือ ไม่ต้องพูดถึงแผนกศัลยกรรมและแผนกอื่นที่ต้องผ่าตัดที่มีแพทย์น้อยกว่านี้มาก ภาระงานโหลดจริงๆ
ตามปกติองค์การอนามัยโลกแนะนำให้สัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อคนไข้ 1000 คน โรงพยาบาลเราก็ทำงานหนักมากกว่าปกติ 5 เท่าแล้ว..
นักข่าวถามว่าถ้าจะต้องรักษาผู้อพยพในศูนย์อพยพทั้งหมดจะรักษาไหวไหม
ตอนเด็กๆพวกเราเคยนั่งรถประจำทางไหม ปกติจะนั่งเบาะละสองคน พอถึงกลางทางมีคนขึ้นมาใหม่กระเป๋ารถเมล์จะบอกว่าให้ขยับเบาะออกมานิดนึง ให้นั่งได้สามคน คนที่อยู่ชิดผนังจะนั่งได้แค่ครึ่งก้น นั่งนานๆก็เมื่อยเหมือนกันนะ .. นั่นแหละสถานการณ์ตอนนี้คือถึงตอนชักเบาะออกมาแล้ว ถ้าจะมีคนขึ้นมาบนรถอีกก็คงต้องยืน หรือถ้ายืนจนเต็มแล้วก็คงขึ้นมาบนรถไม่ได้อีก.. พอเห็นภาพไหม
การจัดการปัญหาผู้อพยพในศูนย์พักพิง เป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศไม่ใช่เรื่องที่สาธารณสุขท้องถิ่นจะมาจัดการได้ ไม่เช่นนั้นจะกระทบถึงงานสาธารณสุขที่ทำอยู่แล้วทำให้ด้อยประสิทธิภาพลง เนื่องจากจำนวนเจ้าหน้าที่และงบประมาณมีจำกัด และอยู่ในสถานการณ์ฟางเส้นสุดท้าย
ในระยะสั้นเช่น 1-2 เดือน ก็คงจะพอถูลู่ถูกังกันไปได้ ไม่ให้เกิดโรคระบาดหรือการเจ็บป่วยร้ายแรง แต่หลังจากนั้นน่าจะมีการแก้ปัญหาในระดับประเทศ ซึ่งแท้จริงแล้วควรจะแก้ปัญหากันมาก่อนไม่ควรปล่อยให้ล่วงเลยมาถึง 40 ปี
มนุษยธรรมเป็นสิ่งที่พวกเราชาวสาธารณสุขชายแดนมีมาตลอดอายุการทำงาน แต่ขอให้เราได้ทำงานที่พอเหมาะกับแรงที่เรามี ให้มันสามารถพยุงฉันทะ และวิริยะในงานของเราต่อไปด้วยเถิด.. ทุกวันนี้ทำงานจนเลยความสุข ความสนุก ไปจนถึงจุดทนอดแล้ว
เครดิต ..เรื่องเล่าหมอชายแดน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image