
ฮือฮา! ค้นพบ ‘สมุนไพรไทย’ แก้ตะกรันในระบบทำความเย็นครั้งแรกของโลก จ่อจดสิทธิบัตรเป็นสมบัติชาติ
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2568) ภิญญ์ชยุตม์ อัครกุลศานต์ หรือ คุณหมี ประธานเอ็มกรุ๊ปโฮลดิ้ง เปิดเผยว่า สมุนไพร คือ หนึ่งเครื่องมือที่ประเทศไทยนำมาช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในแง่ของการลดก๊าซเรือนกระจก การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการลดการพึ่งพาสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จึงได้จัดทำโครงการศึกษาวิจัย “การยกระดับการสร้างนวัตกรรมสมุนไพรแก้ปัญหาตะกรัน” ระหว่างบริษัท เฮิร์บ อินโนเทค จำกัด บริษัทในเครือฯ กับวิสาหกิจชุมชนรำมะสัก อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง เพื่อให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นับเป็นการค้นพบครั้งแรกของประเทศไทย และเป็นครั้งแรกของโลก โดยจะทำการจดสิทธิบัตรเพื่อเป็นสมบัติของชาติไทยต่อไป

พ.ท.ชเนศร์ บุตรเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้านสารสกัดสมุนไพร บริษัท เฮิร์บ อินโนเทค จำกัด กล่าวว่า ได้รู้จักกับนางสงัด พรมเมศ ประธานวิสาหกิจชุมชนรำมะสัก และเห็นถึงความสามารถในการนำสมุนไพรไทยที่อยู่ใกล้ตัวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายชนิด จึงได้หารือกันว่าจะมีสมุนไพรตัวไหนที่จะสามารถลดปัญหาตะกรันที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นในระบบทำความเย็นทั้งในอุตสาหกรรมและครัวเรือน จึงนำไปสู่ความร่วมมือในการดำเนินโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม กับวิสาหกิจชุมชนรำมะสัก

“ส่วนตัวผมเองมีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในการค้นคว้า ศึกษาหาข้อมูลทางด้าน Bio-fermented จากพืชสมุนไพรและผลไม้ และเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการกำจัดและป้องกันการเกิดตะกรัน ในระบบทำความเย็น ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าเป็นธรรมชาติ 100% แต่สามามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้ค้นพบว่าผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาชาวบ้านที่เป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรสมุนไพรแห่งหนึ่งที่มีสมาชิกกว่า200 คน ใน จ.อ่างทอง มีความสามารถในการผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันในการซักล้าง เช่น สบู่ แชมฟูสระผม น้ำยาชักผ้า น้ำล้างห้องน้ำ” พ.ท.ชเนศร์ กล่าว
นอกจากนี้ พ.ท.ชเนศร์ กล่าวว่า ในบางขั้นตอนของขบวนการผลิต สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดผลิตสินค้าธรรมชาติ ใช้ในด้านอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าผลิตภัณฑ์เคมีที่มีใช้กันทั่วไป นั้นคือ ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดและป้องกันการเกิดตะกรันและเมือกใน ระบบ Evaporative Condenser และ Cooling Tower ที่ประกอบด้วย สมุนไพรไทย อาทิ น้ำด่างธรรมชาติ สับปะรด มะละกอ มะกรูด มะนาว และอื่นๆ หลังได้ร่วมมือกับ ประธานวิสาหกิจชุมชนรำมะสัก จ.อ่างทอง ใช้ภูมิปัญญาไทยมาต่อยอด จนได้ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดตะกรัน ทั้งแบบน้ำ และชนิดอัดเป็นก้อน โดยเฉพาะชนิดอัดก้อนถือว่าเป็นนวัตกรรมที่แรกในโลกที่ทำได้ ซึ่งนอกจากจะจัดการและป้องกันตะกรันที่เกาะแน่นแล้ว ยังมีการสร้างฟิล์ม Hydrophobic บนผิวโลหะป้องกันการกัดกร่อน, ลดความกระด้างของน้ำ กำจัดแบคทีเรีย ตะไคร่ และป้องกันการเกิด Biofilm

ขณะที่ นางสงัด กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสมุนไพรของไทย จะสามารถยกระดับไปใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ โดยสรรพคุณของสมุนไพรไทยหลายตัว เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเรื่องของการซักล้าง จึงนำจุดนี้มาคิดร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสารสกัดสมุนไพร จนสามารถนำมาต่อยอดจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดและป้องกันการเกิดตะกรันในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกว่าจะสำเร็จได้นั้น ได้ผ่านการทดลองหลายต่อหลายครั้ง ใช้สมุนไพรหลายตัว และมีกระบวนการที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ไม่เป็นอันตรายต่อคนใช้ และสิ่งรอบตัว นอกจากนี้ยังใช้แรงงานจากคนในชุมชน ทำให้มีรายได้ในการดูแลครอบครัวได้เพิ่มขึ้น ทั้งหมดคือ ความภูมิใจที่สามารถพัฒนาและยกระดับสมุนไพรไทย จากวิสาหกิจชุมชนเล็กๆ ได้

ปรียาวรรณ คำอยู่ ผู้บริหาร บริษัท MGREEN ENVIRONMENT ในบริษัท M Group Holding กล่าวว่า การกำจัดขยะ หรือกากของเสียในอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาจะมีแต่การใช้สารเคมี ซึ่งเป็นอันตรายทั้งต่อสิ่งแวดล้อม และผู้ที่ใช้ นอกจากนี้ คุณภาพน้ำในกระบวนการกำจัดกากของเสียที่ผ่านสารเคมี ก็ต้องถูกนำไปบำบัด ดังนั้น เมื่อมีการใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติคือ สมุนไพร เข้ามาแทน ก็จะช่วยลดต้นทุนได้ ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดตะกรันจากสมุนไพรไทย (Aqua Best) ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้า ทั้งที่เกาหลี และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแนวโน้มจะสั่งออเดอร์เพิ่มมากขึ้น
“บริษัทฯ ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในด้านอื่นอีก เช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันการจับตัวของไขมัน, ผลิตภัณฑ์ล้างครามน้ำมัน เพื่อลดปัญหาน้ำน้ำเสีย ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่น เพราะมูลค่าการใช้ผลิตภัณฑ์ในการกำจัดตะกรันซึ่งเป็นสารเคมีในตลาดโลก สูงถึง 1.5 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีประมาณ ร้อยละ6 จึงเป็นโอกาสดี ที่จะนำสมุนไพรไทยไปทดแทนการใช้สารเคมี สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของความยั่งยืนของโลก ในการลดการใช้สารเคมี ลดโลกร้อน ซึ่งทั้งหมดนอกจากเป็นการยกระดับสมุนไพรไทย ออกสู่ตลาดอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ ยังเป็นการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรและเกษตรกรให้เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย” ปรียาวรรณ กล่าว
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
