เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ว่า สำหรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ในทั่วโลกและประเทศไทย มีความปลอดภัยสูงมาก มีการฉีดในประเทศไทยมามากกว่า 20 ปี และมีการฉีดทั่วโลกมากกว่าพันล้านโดส นอกจากนั้น ยังมีการเก็บข้อมูลประสิทธิภาพและผลข้างเคียง ซึ่งผลข้างเคียงรุนแรงมีน้อยมาก อาจเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด โดยเมื่อเทียบกับประโยชน์ในการรับวัคซีนที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 70 – 80 ถือว่ามีความคุ้มค่าที่ควรรับวัคซีน เพราะเมื่อลดความเสี่ยงในการป่วยได้แล้วก็จะลดอัตราการเสียชีวิตได้เช่นกัน โดยเฉพาะภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หากฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ ก็จะลดความเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรคได้ด้วย
นพ.สุรโชค กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ คนที่มีความเสี่ยงที่จะอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้จะเป็นกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคร่วม ดังนั้น สธ.ขอให้ความมั่นใจว่าวัคซีนที่ใช้มีความปลอดภัย มีการประเมินอย่างต่อเนื่อง มีการควบคุมคุณภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมี 2 ชนิด คือ ป้องกัน 3 และ 4 สายพันธุ์ แต่ถึงแม้จะฉีด 3 สายพันธุ์ หรือไม่ตรงกับสายพันธุ์ที่ติดเชื้อ ก็ยังป้องกันความเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรคได้ อย่างที่มีรายงานผู้เสียชีวิตในไทยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบ 9 ราย ทั้งหมดไม่ได้รับวัคซีน ดังนั้น การฉีดวัคซีนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง จึงมีความจำเป็น สำหรับคนทั่วไป ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่เคยรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่นานมาแล้ว ภูมิคุ้มกันของวัคซีนจะอยู่ได้ราว 1 ปีกว่าๆ จึงควรได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ขณะที่ พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 17 กุมภาพันธ์ พบผู้ป่วยสะสม 107,570 ราย เสียชีวิต 9 ราย โดยกลุ่มอายุที่ป่วยสูงสุด คือ อายุ 5-9 ปี, อายุ 0-4 ปี และอายุ 10-14 ปี ตามลำดับ โดยผู้เสียชีวิตพบตั้งแต่เด็กอายุ 11 ปี สูงสุด 86 ปี ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัว 8 ราย เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด และภาวะบกพร่องทางสติปัญญา และทั้ง 9 รายไม่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
