ผู้นำชุมชนแนะรัฐต่อยอด ‘ตู้ห่วงใย’ พัฒนาให้บริการประชาชนครอบคลุมทุกสิทธิ
วันนี้ (14 มีนาคม 2568) นายเกียรติศักดิ์ มีสมพร ที่ปรึกษาชุมชนเคหสถานเจริญชัยนิมิตใหม่ หนึ่งในชุมชนที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำร่องติดตั้ง “ตู้ห่วงใย” กล่าวว่า ชุมชนเคหสถานเจริญชัยนิมิตใหม่ เป็นชุมชนขนาดเล็ก ร้อยละ 50 เป็นผู้ใช้สิทธิบัตรทอง รองมา เป็นสิทธิประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการ แต่เดิมเมื่อเจ็บป่วยหรือต้องรับบริการสุขภาพ ก็ต้องไปที่สถานพยาบาล โดยที่อยู่ใกล้สุดคือศูนย์บริการสาธารณสุข 17 ที่มีระยะทาง 3 กิโลเมตร (กม.) ค่าโดยสารเที่ยวละ 50 บาท ไปกลับประมาณ 100 บาท ทั้งนี้ ก่อนการนำตู้ห่วงใยมาตั้งในชุมชน ได้หารือร่วมกับผู้นำชุมชนใกล้เคียงอีก 9 ชุมชน เพื่อทำความเข้าใจว่า สปสช. จะนำตู้ห่วงใยมาให้บริการผู้มีสิทธิบัตรทองในชุมชน ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 42 กลุ่มอาการ จะช่วยให้คนในชุมชนเข้าถึงแพทย์ได้ง่ายขึ้น ลดค่าใช้จ่ายเดินทางและประหยัดเวลา โดยใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที และรอรับยาที่บ้านไม่เกิน 20 นาที เบ็ดเสร็จรวมแล้วไม่เกิน 1 ชั่วโมง (ชม.) ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวมามีผู้ใช้บริการกว่า 200 รายแล้ว โดยรวมแล้วผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ผู้รับบริการมีความสุขมาก
“อยากให้มีการขยายพื้นที่ติดตั้งตู้ห่วงใยในชุมชนให้มากๆ และหากเป็นไปได้ อยากให้รัฐบาล สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข ต่อยอดให้ประชาชนทุกสิทธิสามารถใช้บริการที่ตู้ห่วงใยได้ ส่วนทางชุมชนยินดีที่จะอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องที่เจ็บป่วยมารับบริการมากขึ้น เช่น เปิดบริการจนถึงช่วงเลิกงานเพื่อให้คนที่กลับจากที่ทำงานมาใช้บริการได้ เป็นต้น” นายเกียรติศักดิ์ กล่าว
ด้าน นายสมภพ พร้อมพอชื่นบุญ นักวิชาการศูนย์การทดลองเมืองกรุงเทพมหานคร (BANGKOK CITY LAB) กล่าวว่า บทบาทของ BANGKOK CITY LAB เป็นผู้จัดกระบวนการในพื้นที่ที่จะมีการติดตั้งตู้ห่วงใย โดยผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้ชุมชนรู้ว่าตู้ห่วงใยที่ตั้งนี้มีประโยชน์อย่างไร เน้นสร้างความเป็นเจ้าของและร่วมดูแลตู้ห่วงใยโดยชุมชน
“ที่ผ่านมา มีมีโครงการของรัฐจำนวนมากที่ใช้มุมมองคนนอกและคิดว่าดี นำไปให้ชุมชนโดยไม่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม แต่คนในชุมชนอาจคิดไม่เหมือนกันก็ได้ ดังนั้น การนำตู้ห่วงใยไปติดตั้งในชุมชน จึงต้องรับฟังความคิดเห็นและให้ชุมชนร่วมตัดสินใจว่าสิ่งนี้ดีกับตัวเขาจริง ไม่เช่นนั้น ตู้นี้จะร้าง ไม่มีคนมาใช้” นายสมภพ กล่าวและว่า ปัจจุบัน มีชุมชนประมาณ 100 แห่ง ที่อยากได้ตู้ห่วงใยไปติดตั้ง อย่างไรก็ดี จะต้องมีการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเป็นเจ้าของให้ได้ก่อน นอกจากนี้ อยากให้ สปสช. กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือ องค์กรธุรกิจเพื่อสังคม พิจารณาแนวทางการสนับสนุนงบประมาณให้แก่ชุมชนที่ติดตั้งตู้ห่วงใยด้วย เพราะการบริหารจัดการโดยชุมชนเพียงอย่างเดียวนั้น ในช่วงแรกเริ่มอาจอยู่ได้ แต่ในระยะยาวอาจยืนระยะได้ไม่นานเท่าราชการ เช่น ค่า Fixed cost ในการบำรุงรักษาต่างๆ ต่อไปในอนาคตจะมีพื้นที่ติดตั้งตู้ห่วงใยกว่า 100 จุด และแต่ละชุมชนมีความเข้มแข็งไม่เท่ากัน บางชุมชนมีวิสาหกิจชุมชน มีรายได้ ก็แบ่งเงินมาจัดการได้ แต่บางชุมชนก็ไม่มีเงิน ดังนั้น สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจต้องพิจารณาหาแนวทางช่วยสนับสนุนงบ เพื่อให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการตู้ห่วงใยในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
ด้าน นายผล ทองพันธ์ อายุ 67 ปี ชาวบ้านย่าน ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า เดือนมกราคม 2568 ได้มีโอกาสได้ใช้บริการตู้ห่วงใย เป็นบริการที่ดีมากและก็จะกลับไปใช้บริการอีก ซึ่งเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ได้เกิดอาการอาการท้องเสียรุนแรง กินเกลือแร่แล้วก็ยังไม่หาย ตอนนั้น คิดว่าจะไปโรงพยาบาล แต่พอดีมีคนแนะนำว่า ตรงปากซอยมีตู้ห่วงใยติดตั้งอยู่ จึงได้ลองไปใช้บริการดู แรกๆ ก็ใช้ไม่เป็น แต่ดีที่มีเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องช่วยแนะนำ ทั้งวิธีสแกนบัตรประชาชนยืนยันตัวตน วัดความดัน วัดค่าสัญญาณชีพต่างๆ จากนั้นจึงได้พูดคุยกับคุณหมอผ่านระบบการแพทย์ทางไกล ซึ่งได้แนะนำวิธีการปฏิบัติตัวต่างๆ
“ถ้าไม่มีตู้นี้ ผมคงต้องไปโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งหลังจากที่ได้ลองใช้แล้วคิดว่ามันดี ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยมากมายก็ใช้ได้เลย จะได้ไม่ต้องไปที่โรงพยาบาล และถ้ามีโอกาสจะใช้บริการอีก” นายผล กล่าว