ล้างไตช่องท้องด้วย ‘APD’ 30บาทรักษาทุกที่ มอบชีวิตใหม่ให้ ‘ผู้ป่วยวัยเรียน’

ชญาดา วงษ์วรรณะ เด็กหญิงวัย 14 ปี จาก จ.สุโขทัย ที่ช่วงชีวิตสำคัญช่วงหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป เมื่อต้องใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ‘ล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ’ หรือ APD หลังตรวจพบว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) และโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายร่วมด้วย จนต้องเข้ารับการรักษาทันที โดยเฉพาะต้องรับ ‘การบำบัดทดแทนไต’ เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย เนื่องจากเธอมีภาวะบวมตามร่างกาย เพลีย และอ่อนแรง

ขณะนั้น ชญาดา และ อ๊อด วงษ์วรรณะ ผู้เป็นยายของเธอ ตัดสินใจเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตด้วย ‘การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม’ ต้องไปฟอกที่โรงพยาบาล 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และ 1 ครั้ง ใช้เวลานาน 4 ชั่วโมง
“ตอนนั้นไปฟอกเลือดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็สูง ครั้งละ 800 บาท 3 วัน ก็ 2,400 บาท รวมค่ากิน ค่าอะไรต่างๆ แล้วเกือบ 3,000 บาท แต่ละเดือนต้องใช้เป็นหมื่น” อ๊อดเล่าถึงภาระค่าใช้จ่ายแฝงที่ต้องแบกรับ แม้สิทธิบัตรทองจะครอบคลุมค่ารักษาให้กับหลาน “ตอนนั้นเครียดมาก ต้องทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเดินทาง ตัวเราก็สุขภาพไม่ค่อยดีด้วย”

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ต่อมา ชญาดา และอ๊อด ได้ตัดสินใจร่วมกับ พญ.ณัฐิดา พงศ์วิไลรัตน์ กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคไต โรงพยาบาล (รพ.) พุทธชินราช จ.พิษณุโลก แพทย์เจ้าของไข้ ขอเปลี่ยนเป็นวิธี ‘ล้างไตทางช่องท้องด้วยตนเอง’ หรือ CAPD ซึ่งสามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อลดค่าใช้จ่าย และลดเวลาเดินทางไปรับบริการที่โรงพยาบาล

ADVERTISMENT

หลังจากนั้นทุกอย่างดำเนินต่อไป และในแง่ของอาการดูมีทิศทางที่ดีขึ้น ทว่า ผลกระทบที่ตามมาคือ เธอต้องหยุดเรียนเป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากล้างไตด้วยวิธี CAPD ต้องทำถึง 4 ครั้งต่อวัน โดยต้องเปลี่ยนน้ำยาล้างไตทุก 6 ชั่วโมง จึงเป็นอุปสรรคต่อการไปโรงเรียนอย่างมาก ทั้งการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ล้างไต และการจัดเตรียมสถานที่ ขณะเดียวกันผู้เป็นยายก็ต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อช่วยดูแลหลาน

“ตอนนั้นหนูแทบจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย ล้างครั้งนึงไม่นานก็ต้องมาล้างอีก รู้สึกอยากกลับไปโรงเรียน อยากกลับไปเจอเพื่อน กลัวด้วยว่าจะเรียนตามไม่ทันเพื่อน” ชญาดา สะท้อนความรู้สึก

แต่ไม่นานนัก เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้ เธอมีโอกาสได้กลับไปเรียนอีกครั้ง เมื่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีสิทธิประโยชน์ล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) ซึ่งสนับสนุนให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายได้รับการรักษาที่สะดวกมากขึ้น และเป็นแนวทางหนึ่งของนโยบาย ‘30 บาทรักษาทุกที่’

พญ.ณัฐิดา พงศ์วิไลรัตน์

พญ.ณัฐิดา ได้แนะนำให้ชญาดาเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้แทน โดยให้เหตุผลสำคัญว่า การล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่อง APD น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชญาดา เพราะเป็นการล้างไตเพียง 1 ครั้ง ในช่วงกลางคืนก่อนนอน และใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง เมื่อตื่นเช้ามาชญาดาจะสามารถไปทำกิจกรรมต่างๆ ในช่วงกลางวันได้ เช่น เรียนหนังสือ พบเจอเพื่อน ฯลฯ รวมถึงไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปล้างไตระหว่างอยู่โรงเรียนอีกต่อไป
มากไปกว่านั้นยังลดความเสี่ยงติดเชื้อได้อีกด้วย ทั้งจากการต้องต่อชุดล้างไตบ่อยครั้ง หรือความสะอาดของสถานที่ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก หากจะต้องทำที่โรงเรียน ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อีกทั้งวิธีนี้ยังสามารถคุมเรื่องของเสียและน้ำได้ดีกว่าการฟอกเลือดที่ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเด็กจะต่างกับผู้ใหญ่ หากต้องคุมน้ำอาจทำให้เด็กเกิดภาวะขาดน้ำได้

ชญาดาและยายของเธอ เห็นด้วยกับ พญ.ณัฐิดา ตัดสินใจใช้วิธีการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่อง APD แทนวิธีเดิม ผลที่ออกมาเป็นไปตามที่แพทย์เจ้าของไข้แนะนำ ชญาดาสามารถพักผ่อนได้เต็มที่มากขึ้นในตอนกลางคืน เพราะไม่ต้องตื่นมาเปลี่ยนน้ำยาล้างไตบ่อยๆ อีกทั้งยังสามารถกลับไปเรียนได้เหมือนเดิม ทำกิจกรรมระหว่างวันได้ปกติ และคุณภาพชีวิตเธอดีขึ้นอย่างมาก

“เช้าวันแรกที่รู้ว่าจะได้กลับไปเรียนตามปกติ คือ ตื่นเต้นมากที่จะได้กลับไปเจอเพื่อน และดีใจมาก” ชญาดา ย้อนความรู้สึกในตอนนั้น

ล้างไตวิธีนี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยสะดวกและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ในมุมมอง วรรณวิไล อนุรักษ์วัฒนะ พยาบาล รพ.พุทธชินราช พิษณุโลก บอกว่า อีกหนึ่งข้อดีของเครื่อง APD คือ การที่ข้อมูลการล้างไตของผู้ป่วยจะถูกเชื่อมต่อเข้าระบบจัดเก็บข้อมูล (Cloud) ของโรงพยาบาล ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินประสิทธิภาพในการล้างไตของผู้ป่วยได้ด้วย สามารถช่วยปรับแผนการดูแลรักษาที่เหมาะสมได้

ที่สำคัญ หากมีการเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้กันมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตที่ใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จะช่วยลดภาระงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงลดความแออัดในโรงพยาบาลด้วย และทำให้โรงพยาบาลสามารถใช้ทรัพยากรไปกับการรักษาผู้ป่วยที่มีความจำเป็นอื่นได้มากขึ้น

นพ.ชุติเดช ตาบองครักษ์

ด้าน นพ.ชุติเดช ตาบองครักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สปสช. บอกว่า นโยบายล้างไตทางช่องท้อง โดยขยายบริการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่อง APD ให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายทั่วประเทศสามารถเข้าถึงมากขึ้น ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ 30 บาทรักษาทุกที่ ในการยกระดับคุณภาพชีวิต และลดอัตราการเสียชีวิตให้กับผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะการช่วยให้ผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีกิจวัตรประจำวันในระหว่างวันที่สำคัญมีความสะดวกมากขึ้น

“เชื่อว่าที่ สปสช.กระตุ้นให้มีการใช้เครื่อง APD มากขึ้น ที่ขณะนี้มีผู้ป่วยได้ฟอกไตด้วยวิธีนี้แล้วกว่า 5,000 ราย จากเดิมมีเพียง 200 ราย ช่วยคืนเวลาในการใช้ชีวิตให้ผู้ป่วยได้มากขึ้น เด็กก็ได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ ขณะที่วัยทำงานก็สามารถหาเงินเลี้ยงชีพ และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจครัวเรือนของประเทศได้” นพ.ชุติเดช อธิบายเสริม

สำหรับศักยภาพในการรองรับการเปลี่ยนมาใช้วิธีล้างไตด้วยเครื่อง APD นี้ สปสช.คาดการณ์ว่า แต่ละปีจะมีผู้ป่วยใช้เครื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้น 3,000-5,000 ราย จึงได้เตรียมแผนจัดซื้อเครื่องดังกล่าว รวมถึงน้ำยาล้างไตเรียบร้อยแล้ว

“เหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในบริการภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ของรัฐบาล ที่ต้องการช่วยคนไข้ให้เข้าถึงบริการไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อย่างกรณีนี้ น้องอยู่สุโขทัย แต่ก็สามารถไปรักษาที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพที่พิษณุโลกได้ ซึ่งก็ต้องขอความร่วมมือจากหน่วยบริการทั้งภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในระบบ สปสช. ยืนยันว่า สปสช.พร้อมที่จะดูแลเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่ายในการให้บริการแก่ประชาชนแน่นอน” นพ.ชุติเดช กล่าว

อ๊อด วงษ์วรรณะ

สุดท้ายนี้ การได้กลับไปเรียนและใช้ชีวิตตามปกติ สำหรับคนจำนวนไม่น้อยอาจจะมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับ “ชญาดา” และ “ยายอ๊อด” นี่คือความพิเศษ และเป็นหนึ่งในของขวัญชิ้นสำคัญของชีวิตทั้ง 2 คน

“สิทธิบัตรทอง 30 บาท นี่ดีมากเลย ที่เขาช่วยเราได้ ไม่อย่างนั้นพูดตรงๆ ก็คงไม่รอดแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก เราดิ้นรนทำงานหนักก็ไม่รู้จะพอไหม เราดีใจมากๆ ที่ทำให้หลานมีชีวิตใหม่ ดีใจที่วันนี้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ ภูมิใจที่เห็นเขาสวมชุดนักเรียน” ยายอ๊อด กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่แฝงด้วยรอยยิ้ม