อดีตส.ส.ท้องถิ่น ชี้ ‘ต้องทำให้เห็น’ ตัดเกรด 10 นโยบายเร่งด่วน – ฝากรัฐบาลคิดใหม่ จัดสรรอำนาจ – กระจายงบฯ ให้ท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม เวลา 13.30 น. ศูนย์ส่งเสริมความเสมอภาคและความเป็นธรรม (EEPC) วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ร่วมกับ สถาบันปฏิรูปประเทศไทย มหาวิทยาลัยรังสิต จัดงานเสวนาวิชาการออนไลน์ Leadership Forum: Leading to Social Equity (ครั้งที่ 4) ในหัวข้อ “คนจนได้ประโยชน์อะไรจากรัฐบาลแพทองธาร”
โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม อดีต ส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไท, นายบารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน, นายจำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) และ นางนุชนารถ แท่นทอง ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัมสี่ภาค ดำเนินการโดย ผศ.ดร.บูชิตา สังข์แก้ว รองคณบดีฝ่ายพัฒนาสังคมและความยั่งยืน วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม
ในตอนหนึ่ง เมื่อพิธีกรถามว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาล ให้ผ่านหรือไม่ ?
ศ.ดร.โกวิทย์ อดีต ส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไท กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพอดี เรื่อง ‘คนจน’ ส่วนตัวมองเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแก้ เพียงแต่ทุกรัฐบาลต่างก็พูดแล้วดูดี ไม่ว่าจะเป็นนโยบายท้าทายเร่งด่วน ที่แถลงไว้ 10 ประการ
“ผมมี 4-5 ประเด็นที่จะวิเคราห์ว่าเราจะผลักดันนโยบายของรัฐบาลอย่างไร หากเขียนว่า ชีวิตประชาชนจะดีขึ้น รายได้ที่ไม่พอกับรายจ่าย ก็จะแก้ให้ดีขึ้น รวมถึงหนี้สินครัวเรือน การปรับโครงสร้างหนี้ เรื่องพวกนี้ถูกเขียนไว้เป็นสิ่งสำคัญในนโยบาย แต่ปัญหาคือจะแปลงไปสู่ในทางปฏิบัติได้อย่างไร”
“ผมมองว่ามีองค์ประกอบ 2-3 ส่วนคือ 1.มาตรการ 2.กลไก 3.งบประมาณ คำถามคือบ้านเมืองเรา ในเรื่อง กลไกเชิงโครงสร้างอาจจะไปไม่ได้ เพราะไม่ได้ถูกปลดล็อก ในขณะที่กลไกการแก้ไขปัญหา โดยให้กระทรวงเข้าไปแก้ เช่น เรื่องป่าไม้-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เรื่องหนี้สิน-กระทรวงการคลัง วนเวียนลูปนี้ ผมจึงเข้าใจว่าการบูรณาการเชิงโครงสร้าง ยังไม่เกิด” ศ.ดร.โกวิทย์ชี้
ศ.ดร.โกวิทย์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 3.งบประมาณ ที่คลี่ออกมาแล้วน่าตกใจ ท้องถิ่นได้งบประมาณสำหรับไปพัฒนาพื้นที่ สัดส่วน 29 % จากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นปัญหาในแง่ ‘รวมศูนย์อำนาจ’ แล้วเราจะเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจนี้ได้อย่างไร ?ซึ่งไม่ได้แปลว่ากระจายไปสู่ องค์กรส่วนปกครองอย่างเดียว แต่ต้องกระจายไปสู่ ‘องค์กรชุมชน’ ด้วย
โดยในภาคพลเมืองเช่น สมัชชาคนจน ก็เป็นคนจนที่ทำเรื่องนี้ เราพูดถึง 3 องค์ประกอบนี้ แต่ถามว่าเวลากระจายงบ เรากระจายในเชิงไหน ?
ส่วนมากจะเป็น Project Approach งบอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น ซึ่งควรจะเป็น Target Approach แยกแยะประเด็น เช่น จนแบบขาดแคลน หรือจนแบบขาดรายได้ในชีวิต จนเพราะขาดความมั่นคงทางที่อยู่อาศัย ทางอาชีพ ทางการศึกษา เป็นต้น จึงต้องสังเคราะห์ให้ดีว่าเขาเข้าถึงสิทธิหรือไม่
“แยกแยะข้อมูลตามประเภท แต่ละประเด็น เช่น ไม่มีน้ำกินกี่หมูบ้าน จากที่เป็น กมธ.มา 4 ปี พบว่าวิธีการแบบนี้ไม่ถูกใช้ เงินก็แตกกระจายไปตามกระทรวง
ผมไปหัวหินไม่กี่วันก่อน ชายหาด-อยู่ในการดูแลของกรมเจ้าท่า บนหาด-ของกรมพัสดุ ขึ้นมาหน่อย-เป็นของกระทรวงทรัพย์ฯ เห็นๆ ไหม ประเทศไทยซับซ้อนเชิงอำนาจ จึงต้องแยกแยะ วิธีคิดแบบสภาพัฒน์จะมองจากตัวเลข เส้นความยากจนเป็นตัวตั้ง ซึ่งมี 7 ล้านในปัจจุบัน แต่คนจนที่ไปลงทะเบียนการคลัง ปาเข้าไป 12 ล้านคน จะเห็นว่าตัวเลขไม่แน่นอน”
“ผมจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกระจายอำนาจให้กับชุมชนและท้องถิ่น ถ้าเริ่มจากชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ปัญหา รู้ว่าบ้านไหนไม่มีที่อยู่อาศัย ขาดอาชีพ การศึกษา ไม่มีน้ำกินน้ำใช้ ชุมชนรู้ท้องถิ่นรู้ เพราะต้องไปมีส่วนร่วมกับชุมชน ซึ่งชุมชน+ท้องถิ่น ที่เราเรียกว่า ประชาสังคม มิติแบบนี้ รัฐบาลยังไม่พูดเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้ดังๆ” ศ.ดร.โกวิทย์กล่าว
ศ.ดร.โกวิทย์กล่าวต่อว่า ที่พูดหลายเรื่องคือ จะให้เงินกับกลุ่มเปราะบาง สูงอายุ เด็กตั้งแต่ 16-20 ปี ซึ่งวิธีแบบนี้มันเยียวยาได้ชั่วคราว ตนขอเสนอแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน ถ้าเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจนี้ได้ เชื่อว่าบ้านเมืองเราไปไกล ซึ่งจากประสบการณ์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย กระจายอำนาจให้ถิ่นหมดแล้ว ไม่มีการรวมศูนย์อำนาจแล้ว
“ตราบใดที่ยังรวมศูนย์อำนาจ กระจายไปยังกระทรวง แม้จะเยียวยาก็ไม่มีความยั่งยืนหรอก โครงการที่สวยหรู อยู่ที่ส่วนกลางทำทั้งสิ้น จึงไม่มีทาง ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าของอำนาจ ที่รู้ปัญหาที่ต้องแก้”
“ที่หนองสาหร่าย ให้เขียนหนี้ครัวเรือนทุกคน ปรากฏว่ามีหนี้ครัวเรือน 35 ล้านบาท วิธีแก้ เทศบาลซื้อกระปุกออมสิน แจก 90 กว่าครัวเรือน เศษสตางค์ในกระเป๋า มี 1 บาท 5-10 บาทก็หยอด ทำมา 10 ปี ได้ 10 กว่าล้านบาท แล้วตั้งสถาบันการเงินชุมชน ตอนนี้มีเงินออม 90 กว่าล้าน เปิดให้ชาวบ้านเข้าถึงแหล่งทุน เอาเงินไปทำอาชีพ วิสาหกิจชุมชน ซึ่งเพิ่มรายได้ให้สถาบันการเงินชุมชนด้วย”
“การแก้จน ไม่ได้ง่ายๆ ถ้าไม่ทลายโครงสร้างอำนาจ สู่ท้องถิ่น แปรงบฯให้ท้องถิ่น จาก 29 เป็น 50 บาท (50%) เราต้องกลับมาสู่การสร้างพลเมืองแบบ Active Citizen ไม่ใช่ Passive เพราะเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถึงเวลา สิ่งที่รัฐบาลควรซัพพอร์ต ผมว่า 10 นโยบายเร่งด่วน 9 ประเด็นท้าทาย 1. ไม่เน้นมาตการ กลไก งบประมาณ เพียง 3 สิ่งนี้ไม่เห็น ก็หนักแล้ว
“มันต้องทำให้เห็น แล้วไปเปลี่ยนโครงสร้างในการจัดการ ใครเป็นผู้ให้บริการสาธารณะ ทำเรื่องจัดการที่อยู่ น้ำดื่ม น้ำกิน การศึกษาให้ชาวบ้าน ชาวบ้านคิดได้ ถ้าเราเปิดโอกาสให้เขาแก้”
“ในเกาหลี ปล่อยเลย ทุกวันนี้ฐานคนจนก็ค่อยๆ หมดไป ไม่ใช่เยียวยา แต่เป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เรากำลังจะเสนอประเด็นให้ท่านคิดใหม่ งบประมาณที่ใส่ไป เพื่อใคร? ผมว่ามีปัญหา งบส่วนกลาง อาจจะไปเอื้อกลุ่มคนที่แข็งแรงแล้วก็ได้ ต้องกลับมามอง” ศ.ดร.โกวิทย์กล่าว และว่า
ในทางวิชาการ มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำคือ การครอบงำ ยัดเยียด ปกป้อง เพราะเราโตจากการที่ครูมา ติ ไม่ใช่มาชม ไม่อย่างนั้นไม่มีทางพัฒนา ประชาธิปไตยคือรับฟังในสิ่งที่เห็นต่าง คิดไม่เหมือนก็ได้
“ถ้าจัดสรรอำนาจให้ชัดเจน พลเมือง ชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด รัฐบาล ทำอะไร ต้องจัดสรรปันส่วนเรื่องการจัดการ” ศ.ดร.โกวิทย์กล่าว