คกก.สอบตึกสตง.ถล่ม ขยายเวลาอีก 90 วัน รับมีหลายปัจจัยเป็นสาเหตุ

คกก.สอบปมตึก สตง.ถล่มขยายเวลาสอบอีก 90 วัน ฟากโยธาฯ สรุปยอดตรวจสอบอาคารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว 14 วัน รวม 8,529 อาคาร ใช้งานได้ปกติ 8,034 อาคาร เสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ 432 อาคาร ระงับการใช้งาน 63 อาคาร

เมื่อวันที่ 11 เมษายน ศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระรามที่ 6 ได้ร่วมกับสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่มีการแจ้งว่าได้รับความเสียหาย โดยมีการแบ่งอาคารในการตรวจสอบออกเป็น 3 กลุ่ม และขอรายงานผลการดำเนินงานตามการแบ่งกลุ่มอาคาร ดังนี้

อาคารกลุ่มที่ 1 ได้แก่ อาคารสาธารณะ อาคารชุมนุมคน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน อาคารราชการ ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบร่วมกับ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับการร้องขอ สรุป ดำเนินการตรวจสอบอาคารภาครัฐสะสมตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.-10 เม.ย.จำนวน 234 หน่วยงาน 649 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 589 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 58 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 2 อาคาร

อาคารกลุ่มที่ 2 ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ โรงแรม คอนโดมิเนียม หอพัก ห้างสรรพสินค้าที่เป็นของภาคเอกชน อาคารเหล่านี้ เป็นอาคารที่ต้องมีการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคารทุกปีอยู่แล้ว ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองมีผู้ตรวจสอบอาคารที่ขึ้นทะเบียน จำนวนมากกว่า 2,600 ราย สามารถค้นหาผู้ตรวจสอบอาคารได้ผ่านเว็บไซต์กรมโยธาธิการและผังเมือง โดยกรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ แจ้งเจ้าของอาคารให้ดำเนินการตรวจสอบอาคาร ตามหนังสือสั่งการเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย ซึ่งได้สั่งการให้กรุงเทพมหานคร ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ตามมาตรา 32 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน โรงมหรสพ โรงแรมตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป โรงงานที่มีความสูงมากกว่า 1 ชั้น และพื้นที่ตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป สถานบริการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป อาคารชุดหรืออาคารอยู่อาศัย รวมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป และป้าย ให้ดำเนินการตรวจสอบสภาพอาคาร โครงสร้างของตัวอาคารและอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ของตัวอาคารโดยด่วน

ADVERTISMENT

และรายงานผลการตรวจสอบให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น (กรุงเทพมหานคร) ทราบ พร้อมมาตรการควบคุมกรณีพบว่าอาคารมีความชำรุดในระดับต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้พักอาศัยและผู้ใช้อาคาร หากเจ้าของอาคารไม่ดำเนินการจะมีโทษตามกฎหมาย ซึ่งกรุงเทพมหานครได้แจ้งเจ้าของอาคารภาคเอกชนที่ต้องทำการตรวจสอบตามกฎหมายแล้ว จำนวนประมาณ 11,000 แห่ง เพื่อดำเนินการตรวจสอบอาคารและรายงานให้กรุงเทพมหานครทราบ ซึ่งมีการแจ้งว่าได้มีการตรวจสอบแล้วจำนวน 3,518 แห่ง

อาคารกลุ่มที่ 3 ได้แก่ อาคารบ้านพักอาศัย ตึกแถว ห้องแถว และอาคารทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชนผ่าน Traffyfondue ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 10 เม.ย. ได้รับแจ้งทั้งหมด 19,168 เรื่อง และดำเนินการแล้วเสร็จ 18,306 เรื่อง สำหรับอาคารในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทางกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้สั่งการให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด ดำเนินการตรวจสอบอาคาร ร่วมกับวิศวกรขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นและวิศวกรอาสาของเอกชนในพื้นที่ ร่วมกันดำเนินการเช่นเดียวกับส่วนกลางและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยสั่งการให้มีการตรวจสอบอาคารสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล หรืออาคารหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการใช้อาคาร ปัจจุบันได้มีผลการตรวจสอบอาคารในส่วนจังหวัด 76 จังหวัด จำนวน 7,880 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 7,445 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 374 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 61 อาคาร

ADVERTISMENT

สรุปผลการตรวจสอบอาคารภาครัฐที่ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.-10 เม.ย. ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น จำนวน 8,529 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 8,034 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 432 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 63 อาคาร นอกจากนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองมีช่องทางให้เจ้าของอาคาร ผู้ตรวจสอบอาคาร หรือพี่น้องประชาชน สามารถรับทราบข้อมูลต่างๆ และให้คำปรึกษาผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ของกรมฯ สื่อมวลชน โทรทัศน์ วิทยุหนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ ปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองเปิดสายด่วนสำหรับขอรับคำปรึกษาและแจ้งเหตุที่หมายเลข 1531 / 0-2299-4191 และ 0-2299-4312

สำหรับการสืบสวนข้อเท็จจริง สาเหตุการพังถล่มของอาคาร สตง. นายอนุทินได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ

กลุ่มที่ 2 ผู้แทนสถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

กลุ่มที่ 3 ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กลุ่มที่ 4 เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมืองรวมทั้งสิ้น 22 คน โดยมีวิศวกรใหญ่ กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นประธานกรรมการ และนายกสภาวิศวกร เป็นที่ปรึกษา และให้รายงานผลภายใน 7 วัน

ทั้งนี้ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้สรุปเบื้องต้น พบว่า มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารพังถล่มอยู่หลายปัจจัย ซึ่งคณะกรรมการฯ ต้องตรวจสอบในทุกปัจจัยจากเอกสารจำนวนมาก และเก็บข้อมูล ณ สถานที่เกิดเหตุโดยละเอียด แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากต้องให้ความสำคัญกับการกู้ชีพเป็นลำดับแรก และต้องนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์หาสาเหตุโดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน เพื่อให้ได้ผลสรุปถึงสาเหตุของการพังถล่มอย่างแท้จริง และทำให้เกิดความกระจ่างต่อสังคม โปร่งใส เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการสืบสวนออกไปอีก 90 วัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image