เปิดเช็กลิสต์ ‘ยาทำให้ง่วง’ หมอชี้เสี่ยงหลับในสูง เลี่ยงขับขี่
เมื่อวันที่ 14 เมษายน นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนน ที่ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ระบุว่าพบสาเหตุจากการหลับในที่มีปัจจัยเสี่ยงจากการรับประทานยาที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้เกิดอาการง่วงและหลับใน ว่า แนะนำประชาชนที่จำเป็นต้องใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการง่วง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการหลับใน หลีกเลี่ยงการขับขี่
นพ.ภาณุมาศ กล่าวว่า ยาหลายชนิดมีฤทธ์ทำให้ง่วงซึม หากขับขี่หลังรับประทานยา จะเสี่ยงต่อการหลับในและการตัดสินใจจะช้าลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้สูง จึงขอให้คำแนะนำประชาชน หากรับประทานในกลุ่ม ยาคลายเครียด ยานอนหลับ ยาโรคซึมเศร้า ยากันชัก ยารักษาอาการปวดเส้นประสาท เช่น กาบาเพนติน (Gabapentin) ยาแก้ปวดรุนแรง เช่น มอร์ฟีน, ทรามาดอล (Tramadol), โคเดอีน (Codeine) ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น ยาบาโคลเฟน (Baclofen), โทลเพริโซน (Tolperisone), (โอเฟนนาดรีน) Orphenadrine ยาแก้แพ้ แก้คัน ลดน้ำมูก เช่น ยาคลอเฟนนิรามีน (Chlorpheniramine), ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine) ยาแก้ไอทั้งแบบเม็ดและยาน้ำ ที่มีส่วนผสมของโคเดอีน (Codeine) หรือ เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (Dextromethorphan) ยาแก้เมารถ เมาเรือ ยาไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) ยาต้านอาการท้องเสีย (Loparamine) ไม่ควรขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักรขณะใช้ยาเหล่านี้
ด้าน นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการง่วงจากยามักไม่ได้เกิดทันทีหลังกินยา แต่มักเกิดขึ้นภายใน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง หลังจากรับประทานยา และอาการง่วง มักมีอาการต่อเนื่องต่ออีกหลายชั่วโมงขึ้นอยู่กับชนิดของยา ดังนั้น หากรับประทานควรหลีกเลี่ยงการขับรถในระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์ นอกจากกฤทธิ์ของยา สภาพร่างกายในช่วงที่เจ็บป่วยไม่สบาย จะอ่อนเพลีย อ่อนล้าได้มากกว่าปกติ ทำให้มีภาวะเสี่ยงต่อการหลับในเมื่อไปขับรถได้สูง โดยเฉพาะการขับขี่ระยะทางไกล จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่เช่นกัน
ขณะที่ พญ.ศิริรัตน์ สุวรรณฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ ได้กล่าวว่า ตัวอย่างยาข้างต้นเป็นยาที่ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อย แต่ยังมียาอีกหลายชนิดที่มีต่อจิตประสาททำให้ง่วงได้เช่นกัน ทั้งนี้ ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรเมื่อได้รับยา รวมทั้งควรอ่านฉลากยาก่อนกินยา จะมีคำแนะนำ ข้อควรระวังหรือผลข้างเคียงของยา หากสงสัยเรื่องยา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เภสัชกรหรือแพทย์ใกล้บ้าน หรือ สายด่วนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โทร.1556 สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422