ชัชชาติ เล่าหลังทำงาน 3 ปี ชี้ทำสิ่งเล็กสิ่งน้อย ‘ทางเท้า-ปลูกต้นไม้-ไฟสว่าง-แยกขยะ’ เปลี่ยนเมืองได้จริง! – โชว์ตัวเลขแก้เรื่องร้องเรียนแล้วเกิน 7 แสนเรื่อง
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมเสวนา “ก้าวสู่ปีที่ 4 ขับเคลื่อนกรุงเทพ สู่เมืองแห่งโอกาสและความหวัง” โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำรายงานความคืบหน้าการบริหารเมือง และแผนพัฒนากรุงเทพฯ ในอนาคต
ในตอนหนึ่ง นายชัชชาติกล่าวว่า ตอนแรกจะพูดถึงการแถลงผลงาน 3 ปี แต่พอมาดูบรรยากาศแล้ว มันเหมือนกับทุกคนเซ็งกัน ความหวังก็ไม่ค่อยมี ไม่ว่าจะเจอเรื่องแผ่นดินไหว ตามเรื่องตึก สตง.ถล่ม มูดี้ส์ เรตติ้งส์ (Moody’s Ratings) ปรับลดอันดับ รวมถึงสงครามการค้าอเมริกา ปรับ GDP ซึ่งจะเห็นว่ามันมีข่าวร้ายหมดเลย คนก็คงไม่ค่อยอยากจะฟังผลงาน 3 ปีสักเท่าไหร่
“ตามตรงแล้วสิ่งที่อยากจะพูดวันนี้ คือ 3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความหวังและโอกาสอย่างไร ผมเชื่อว่าเรามีความหวังและโอกาสมากมายเลย คงไม่พูดหรอกว่า 3 ปีที่ผ่านมาผลงานคืออะไร แต่จะเล่าว่าเราเห็นโอกาสและความหวังอย่างไร อยากจะเล่าเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจและมันจะมีโอกาสอีกมากมาย ที่เราจะก้าวแต่ไปอย่างมั่นคง และจะยืนต่อไปได้ในภูมิภาคนี้ ในโลกนี้ได้โดยมีศักดิ์ศรีไม่น้อยกว่าใครเลย” นายชัชชาติเผย
นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ขอพูดเรื่องความหวังและโอกาส หลังจากการทำงานมา 3 ปีว่า เรามองเห็นอะไร ตนเชื่อว่ามันมีมากมาย ซึ่งสิ่งที่ต้องขอบคุณ คือ มันไม่ใช่แค่ทีมบริหาร หากแต่เป็นผลงานของทุกคนในที่นี้รวมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่าย สื่อมวลชน สภา กทม. ทุกคนร่วมมือกัน ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา เรามีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากมาย
“อย่างเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุแผ่นดินไหว ผมอยู่ชั้น 2 ยังรู้สึกว่า โอ้โห มันไม่เคยโยกขนาดนี้ มันพังทั้งกรุงเทพฯหรือเปล่า มันจะมีปัญหาไหม แล้วยิ่งมีคลิป สตง.ที่ถล่ม เรายิ่งกังวลเลย จนเราต้องมาเปิดห้องบัญชาการตรงนี้ แต่ปรากฏว่าวันนั้น ไม่มีตึกไหนพังเลย ตึกในกรุงเทพฯยังแข็งแรงอยู่ได้ ผมเชื่อว่ามาตรฐานดี ออกแบบดี การก่อสร้างดีได้มาตรฐาน วิศวกรคำนวณได้ดี มีแค่ตึกเดียวที่พัง ผมคิดว่ามันน่าจะมีเหตุผลที่เรากำลังหาอยู่ แต่มันเป็นความหวังว่า กรุงเทพฯเจ๋งนะ แผ่นดินไหวขนาดนี้ ตึกยังอยู่ได้ ไม่มีตึกพัง
พอวันที่ 30 มีนาคม เราก็เชิญทูต 20 กว่าประเทศมาจัดงาน bangkok we are ok ก็เห็นว่ากรุงเทพฯปกติ กรุงเทพฯมีความหวัง กรุงเทพฯเดินหน้าต่อไปได้ มันเป็นเมจเสจสำคัญที่ไม่ว่าจะมีวิกฤตอะไรก็ตาม ผมเชื่อว่าเรายังเข้มแข็งและเดินต่อไปได้” นายชัชชาติเผย
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า วันนี้อยากเล่าให้ฟัง 3 เรื่อง คือ 1. ความหวังและโอกาส ว่าที่ผ่านมา 3 ปี เห็นความหวังและโอกาสอย่างไร 2. หัวใจของการทำงาน คือ ปรัชญาของเราและทีมงาน ข้าราชการ ภาคีเครือข่าย ร่วมมือกัน และ 3. โครงการในอนาคต ที่เราอยากจะทำต่อ
“ผมว่าความหวังและโอกาสมีอยู่ 5 ประเด็นที่อยากจะเล่า เรื่องแรก คือ ความร่วมมือร่วมใจอย่างจริงจัง ทั้งข้าราชการ ภาคีเครือข่ายทุกคน ผมว่าเราเอาชนะสิ่งที่ยากได้ ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ ผมเชื่อว่าถ้าเราร่วมมือ ร่วมใจ เอาจริงเอาจัง แล้วมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เราจะเอาชนะปัญหาได้ เราเดินหน้าต่อไปได้
ยกตัวอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดเลย คือ ระบบราชการ ซึ่งมีความล่าช้า เช้าชามเย็นชาม ไม่สนใจประชาชน ไม่ประสานงานกัน ทำงานเป็นไซโล นี่คือสิ่งที่เราถูกบ่น กทม.เองก็อยู่ในนั้น ถามว่าเราแก้ปัญหาด้วยอะไร วันแรกที่เรามาเลย คือ เราใช้แอพพลิเคชั่น Traffy Fondue (ทราฟฟี่ฟองดูว์) ซึ่งตอนนั้นแทบไม่มีใครรู้จักเลย
เราเปิดให้ประชาชนแจ้งปัญหา ให้อำนาจประชาชนแจ้งเข้ามาผ่านแอพพลิเคชั่น เป็นตัวชี้วัดให้ข้าราชการทำในสิ่งที่ประชาชนขอร้องมา ดังนั้นเรากระจายอำนาจสู่ประชาชน สร้างความโปร่งใส นี่คือสิ่งที่ประชาชนร้องเรียนมา” นายชัชชาติระบุ
นายชัชชาติกล่าวว่า จนข้อมูล ณ วานนี้ (6 พ.ค.) มีประประชาชนร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 934,961 เรื่องใกล้จะครบล้านเรื่องแล้วนะ ที่เจ้านายสั่งให้เราทำงาน แล้วทีมงานเราก็แก้ไปแล้ว 757,354 เรื่อง แล้วก็ส่งต่อหน่วยงานอื่น อันนี้คือการปฏิรูปราชการโดยไม่ต้องเปลี่ยนกฎหมายเลย
“เราใช้กรอบอำนาจที่มี ไม่ได้ใช้งบประมาณเพิ่มด้วย ใช้คนเท่าเดิมแต่เปลี่ยนการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจนเลย ซึ่งมีการให้คะแนนการทำงานด้วย มีการให้ดาวได้ว่า ผลงานแต่ละหน่วยเป็นอย่างไร อันนี้ก็เป็นหนึ่งในข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่า จะเอาใครเข้าตำแหน่งไหนไปทำงาน มันทำให้เราเลือกคนได้ดีขึ้น” นายชัชชาติระบุ
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนแรกตอนที่ตนเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ เฉลี่ยแล้ว 1 ปัญหาร้องเรียน ใช้เวลาแก้ 2 เดือน แต่พอ 3 ปีผ่านไปเหลือเพียง 1.9 วัน ในการใช้แก้ปัญหาต่อเรื่อง อันนี้คือสิ่งที่ปรับปรุงได้อย่างมหาศาล พลิกระบบราชการ ทำให้ประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยใช้กรอบอำนาจที่มีอยู่ แต่มันก็คงมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง อาจจะมีคนร้องเรียนว่ายังมีอีกหลายเรื่องต้องใช้เวลา เราก็ต้องปรับปรุงไป แก้ไขตลอด ซึ่งเรามีคณะทำงานตามแก้ไขเรื่องนี้ตลอด
“กรุงเทพฯเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอย คนเดินถนนไม่ได้ ไม่มีทาง ผมจำได้เลยว่า ตอนแรกที่ผมมาเป็นผู้ว่าฯ ผมก็ไปวิ่งแถวโบ๊เบ๊ ยังคิดอยู่ในใจเลยว่า โห! จะจัดการโบ๊เบ๊ได้เหรอ ที่เขาลงถนนมาขายของกันแล้วครึ่งทาง ขายมาเป็น 20-30 ปีแล้วเนี่ย เราจะจัดการได้เหรอ แต่ด้วยนโยบายทีชัดเจน เอาจริงเอาจังอย่างต่อเนื่องจาก นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ตลอด เราสามารถจัดการโบ๊เบ๊ แล้วทำให้เขาไปอยู่ในที่ที่ถูกกฎหมายได้ ก็จัดให้เป็นระเบียบได้
รวมถึงตลาดลาว เขาก็อยู่มันมาเป็น 10 ปี เอาพื้นที่ฟุตปาธมาขายของ หรือว่าตรงหน้าวัดคณิกาผล เราก็สามารถจัดระเบียบได้ด้วยความเอาจริงเอาจัง มันเหมือนปัญหาที่เราน่าจะจัดการไม่ได้ แต่ผมว่าพอเราเอาจริงเอาจัง เรามีนโยบายที่ชัดเจน มันก็ทำให้เราแก้ปัญหาได้” นายชัชชาติชี้
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่อง ‘ปลูกต้นไม้ล้านต้น’ เรายังทำได้เลย ซึ่งตอนออกนโยบายมาคนหัวเราะเต็มเลยว่า จะทำได้หรือ แต่เราเริ่มปลูก 200 ต้นแรก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน จากที่เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ วันที่ 1 มิถุนายน แล้วเราก็ไม่หยุดปลูก แต่ละเขตมีตัวชี้วัดลงไปว่า เราต้องปลูกอาทิตย์ละกี่ต้น ปลูกจนกระทั่งเวลาที่ทุกคนเจอเรา ก็พูดแต่เรื่องปลูกต้นไม้
จนถึงวันนี้ปลูกต้นไม้ไปแล้ว 1 ล้าน 8 แสนต้น (1,859,894 ต้น) เกินเป้าที่กำหนดไว้แล้ว คิดว่ากว่าจะหมดสมัยผู้ว่าฯ ก็น่าจะได้สัก 2 ล้านกว่าต้น
มันเป็นการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเปลี่ยนเมืองได้ สุดท้ายจะเห็นว่ามันมีพื้นที่สีเขียวขึ้นมามากมายเลย ตามพื้นที่ต่างๆ แต่มันต้องทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง ทุกวันต้องคิดเรื่องปลูกต้นไม้ ไม่ใช่ว่า ทำแบบไฟไหม้ฟางหนเดียวก็จบ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง แล้วก็เปลี่ยนเมืองได้จริงๆ” นายชัชชาติเผย
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่อง ‘สวนสาธารณะ’ เรามีสวนที่สวยงาม แต่คนเข้ามาได้ไม่ถึง เราก็เพิ่มสวน 15 นาที ได้แล้วจำนวน 199 สวน ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ 500 สวน เราก็ต้องเกินหน้าต่อ หาพื้นที่มาทำ ให้มีสวนแบบนี้อยู่ทั่วกรุงเทพฯ ให้คนสูงอายุ คนที่อยู่ในชุมชน สามารถมาใช้ประโยชน์จากสวนเหล่านี้ได้” นายชัชชาติชี้
นายชัชชาติกล่าวว่า เรื่อง ‘ทางเท้า’ กรุงเทพฯแต่ก่อนเราเดินแทบไม่ได้ คนไม่อยากเดิน เพราะเดินไปก็ล้ม หรือมีน้ำกระฉอกใส่หน้า เราก็ปรับกระเบื้องทางเท้าโดยตั้งเป้าหมายไว้ 1,000 กิโลเมตร แต่ตอนนี้เราทำไปแล้ว 1,100 กิโลเมตร เชื่อว่าทุกคนเห็นว่าทางเท้าดีขึ้น เราทำเอาจริงเอาจังให้ดีขึ้น ทั้งทางเขตและสำนักโยธา ร่วมมือกันทำให้คนพิการสามารถเดินทางได้
นายชัชชาติกล่าวว่า เรื่อง ‘ไฟส่องสว่าง’ นั้น กรุงเทพฯต้องสว่าง เพราะชอบมีปัญหาไฟดับ อุบัติเหตุเกิดขึ้น เกิดเหตุอาชญากรรม ซึ่งเราเปลี่ยนหลอดไฟ LED ไปแล้วมากกว่า 115,000 ดวง แล้วตั้งเป้าว่าภายในสมัยเรา จะตั้งเป้าเปลี่ยนเพิ่มอีก 2 หมื่นดวง กรุงเทพฯก็จะสว่างแล้วจะลดเรื่องอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยให้”
นายชัชชาติกล่าวว่า ส่วนเรื่อง ‘ทางม้าลาย’ ที่ก่อนเราเข้ามาเป็นผู้ว่าฯมีกรณีรถชนคุณหมอกระต่ายที่ทางม้าลาย เราก็ลุยปรับทางม้าลายต่อเนื่องตลอดทุกปี ซึ่งเราปรับปรุงทางม้าลายไปแล้ว 2,100 แห่ง ทำให้ชัดเจนขึ้น ติดไฟ ทำแสงสว่างเพิ่มเติมขึ้น
“เราปรับลดความเร็วในกรุงเทพมหานคร จากเดิม 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราปรับความเร็วสูงสุดให้ลดลงเหลือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คนก็บ่น แต่ตามจริงแล้วมันช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายชัชชาติชี้
นายชัชชาติกล่าวต่อว่า จากทั้งหมดที่เราทำ จะเห็นว่าสิ่งที่ยากแต่เราเลือกที่จะทำ เช่น การลดอุบัติเหตุลงอย่างมาก ปีที่แล้วการตายลดลง 9 เปอร์เซ็นต์ ปีนี้แค่ 3 เดือนแรก การตายลดลง 16 เปอร์เซ็นต์ มันคือสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นปรับปรุงไฟ ปรับปรุงกายภาพของถนน ทางม้าลาย ลดความเร็ว มันทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น 3 ปี มันเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเลยว่า ‘อุบัติเหตุและการตายบนถนน’ ลดลง
“ส่วนเรื่องการไม่เทรวม ปีนี้เรียกได้ว่าเป็นปีที่สำคัญ ที่จะเอาประชาชนรายเล็กรายน้อยเข้ามาร่วม โดยที่ผ่านมา 3 ปี เราทำโครงการไม่เทรวมมาตลอด จากการร่วมกับเอกชนรายใหญ่ก่อน พวกภาคีเครือข่ายห้างสรรพสินค้าต่างๆ เราลดขยะลง 12 เปอร์เซ็นต์ทำ ทำให้ประหยัดค่าเก็บขนส่งได้ประมาณ 2 พันล้าน เราประหยัดค่าเก็บขยะได้ 1,200 ล้าน แค่เอาภาคีเครือข่ายมาร่วมกันจากรายใหญ่ก่อน
แต่ปีนี้เดือนตุลาคม ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมแล้วในการแยกขยะ ก็จะขยายวงมากขึ้น สิ่งที่เราคิว่ากรุงเทพฯแยกขยะไม่ได้ แต่มันเกิดผลอย่าเป็นรูปธรรมได้ ถ้าเราทำมีนโยบายและร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงจัง” นายชัชชาติระบุ
นายชัชชาติกล่าวว่า เรื่อง ‘ถนนสวย’ 50 เขต คนอาจจะยังไม่รู้สึก แต่เราสั่งไปว่าทุกเขตต้องมีถนนสวย ให้มีต้นไม้และดอกไม้ ซึ่งทำเนื่องมา 3 ปีแล้ว ไม่ได้ทำแค่เฉพาะกิจ โดยทุกเขตต้องมีถนนสวยและพัฒนา ที่ผ่านมาทำแล้ว 57 เส้นทาง รวมระยะทางประมาณ 130 กม.
“เราจะเห็นว่าถนนสวยมีอยู่ทั่วเมืองกรุงเทพ แล้วจะขยายผลมากขึ้น จะมีดอกไม้ ทางเท้าที่ดีขึ้น ก็จะเป็นอัตลักษณ์ใหม่ของกรุงเทพ ฉะนั้น 3 ปี ผ่านไป เรามีถนนสวยขึ้นมา 130 กม.” นายชัชชาติชี้
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า สิ่งที่เราคิดว่าแก้ไม่ได้ แต่กรุงเทพฯเราทำได้ ด้วยการร่วมมือร่วมใจกันทุกภาคส่วน ไม่เฉพาะข้าราชการ หรือ ผู้บริหาร แต่ว่าเกี่ยวกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวกันด้วย