ชัชชาติ กางแผนปีที่ 4 ควัก ‘เทคโนโลยี’ โชว์เอกสารงบฯ-แก้รถติด ดึงพลังคนเก่งช่วยเปลี่ยนเมือง

ชัชชาติ กางแผนปีที่ 4 ควัก ‘เทคโนโลยี’ โชว์เอกสารงบฯ-โชว์ความโปรงใส ติดตั้งกล้องเอไอแก้ปัญหารถติด พร้อมดันพลังคนเก่งแต่ละด้าน เข้ามาช่วยเปลี่ยนเมือง

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมเสวนา “ก้าวสู่ปีที่ 4 ขับเคลื่อนกรุงเทพ สู่เมืองแห่งโอกาสและความหวัง” โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำรายงานความคืบหน้าการบริหารเมือง และแผนพัฒนากรุงเทพฯ ในอนาคต

ในตอนหนึ่ง นายชัชชาติ กล่าวว่า ‘เทคโนโลยี’ คือ หัวใจที่จะเปลี่ยนเมือง เรามีสิ่งที่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว โดยการเอาเทคโนโลยีมาใช้ ตัวอย่างแรก คือ การศึกษา ที่แต่ก่อนเราต้องเอาครูมาสอนหน้าห้องเรียน แล้วให้นักเรียนจดตามครู ซึ่งคนที่เรียนเก่งก็ต้องมารอเพื่อน คนที่เรียนไม่เก่งก็ตามเพื่อนไม่ทัน สุดท้ายก็ได้ผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งหมด เพราะว่าต่างคนต่างรอ หรือ ไปไม่ทันเพื่อน

“เราใช้แท็บเล็ตเป็นเหมือน Google Classroom ทุกวิชาเด็กมีคะแนนดีขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้าไปปรับปรุงเรื่องการศึกษา แล้วก็ต้องเอาไป ขยายผลในห้องเรียนทั้งหมดของกทม. ให้เด็กเหมือนมีการจัดการบทเรียนส่วนตัว (Personalized) มากขึ้น ซึ่งภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่นักเรียนได้คะแนนแย่ที่สุด ต่ำกว่ามาตรฐาน ฉะนั้นเราใช้คอมพิวเตอร์แลป ซึ่งเรามีอยู่ทุกห้องเรียนแล้ว 2 หมื่นกว่าเครื่อง ทำให้เด็กฝึกพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้ AI ช่วย ทั้งฝึกฟัง ฝึกพูด ฝึกอ่าน ทำให้ผลคะแนนภาษาอังกฤษเด็กดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยห้องที่ดีที่สุดดีขึ้นถึง 37 เปอร์เซ็นต์เลย พอเอาเทคโนโลยีมาช่วยจับ” นายชัชชาติระบุ

ADVERTISMENT

นายชัชชาติกล่าวว่า เรื่อง ‘ปัญหารถติด’ คือ ปัญหาโลกแตกของเรา โดยช่วย 3 ปีที่ผ่านมา เราทดลองระบบจากปีแรก ที่ใจกล้าทำระบบให้ พอปีที่ 2 เราก็ของบประมาณทำการติดตั้ง คือ แทนที่จะให้ตำรวจจราจรกดปุ่ม แต่เราจะใช้กล้องตรวจจับปริมาณรถ แล้วก็เปลี่ยนสัญญาณไฟตามปริมาณรถ

“ฉะนั้น จะไม่มีการปล่อยไฟเขียวโดยที่ไม่มีรถ แล้วก็ติดไฟแดงขณะที่รถต่อแถวกันอยู่มหาศาล โดยจะใช้ถนนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พอทดสอบแล้วก็ดีขึ้น โดยในช่วงรถติดดีขึ้น 13-15% ซึ่งถือว่าดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แล้วก็จะขยายผลต่อไปให้ครบ 500 ในกรุงเทพมหานคร” นายชัชชาติชี้

นายชัชชาติกล่าวอีกว่า เราใช้กล้อง AI หลายอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เช่น จับมอเตอร์ไซค์วิ่งบนทางเท้า ช่วยดูความปลอดภัย และตรวจจับรถที่เข้ามาเพื่อควบคุมฝุ่น PM 2.5 ทำ Low Emission Zone ซึ่งรถบรรทุกที่ไม่ได้จดทะเบียนกับเรา ถ้าเข้ามาเราก็จะมีการแจ้งจับได้แล้วราว 1,500 คัน เพื่อป้องกันการปล่อยฝุ่นในกรุงเทพชั้นใน

“เรามีการใช้ Open Data ในการเปิดเผยข้อมูล ให้คนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น อันนี้รองผู้ว่าฯศานนท์ หวังสร้างบุญ เป็นคนเอาข้อมูลต่างๆ มาเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ ที่เราเริ่มทำตั้งแต่ปีแรก ทำต่อเนื่องมาจนถึงปี 68 คนสามารถเข้ามาดูได้เลยว่า งบประมาณเรามีโครงการอะไรบ้าง รายรับเท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ แต่ละโครงการเป็นอย่างไร

โดยช่วงที่ผ่านมา เรามีข้อมูลที่เปิดเผยกว่า 1,130 ชุด ฉะนั้นข้อมูลอะไรต่างๆที่เราเปิดเผยได้ เราเปิดเผยทันที จากเดิมปีแรกที่คนเข้ามาดู 4 แสนครั้ง แล้วก็เพิ่มมาเป็น 2 ล้านครั้ง จนตอนนี้มีคนเข้ามาดูแล้วเกิน 4 ล้านกว่าครั้ง โดยเรามีการเปิดเผย Open Data เพื่อความโปร่งใส

พร้อมทั้ง Open Contract เปิดเผยข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างให้เห็นความคืบหน้าว่า มีการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างไร เพื่อให้คนเข้าไปตรวจสอบ โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความโปร่งใส” นายชัชชาติระบุ

นายชัชชาติกล่าวอีกว่า เรื่องการ ‘ขอใบอนุญาตก่อสร้าง’ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนพูดว่า มีเรื่องใต้โต๊ะเรื่องทุจริตคอรัปชั่นมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เราก็เปลี่ยนมาให้ขอออนไลน์ได้ แล้วก็ลดระยะเวลาด้วย โดยถ้าขอแบบแมนนวลใช้เวลา 45 วัน ถ้าขอออนไลน์เหลือ 14 วัน เราก็พยายามโปรโมทอันนี้ เพื่อให้คนมาใช้ออนไลน์ แล้วก็ลดเรื่องทุจริตคอรัปชั่น

“การขออนุญาตทั้งหมดตั้งเข้าระบบดิจิทัล เพื่อให้เราติดตามได้ว่าแต่ละเรื่องค้างอยู่นานเท่าไหร่ ปฏิบัติตามพ.ร.บ.อำนวยความสะดวกไหม ไม่ใช่เขียนเป็นแผ่นมา ซึ่งมันหลบไปอยู่ตามเขตได้ พอทุกอย่างขึ้นออนไลน์ก็ทำให้ทุกอย่างสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานแต่ละเขตได้” นายชัชชาติระบุ

นายชัชชาติกล่าวว่า เรื่อง ตรวจสุขภาพฟรี 1 ล้านคน น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลย ที่มีการตั้งเป้าหมายถึง 1 ล้านคน ซึ่งตอนนี้เราตรวจแล้วประมาณ 787,000 คน ตรวจกันละเอียดเลย แล้วข้อมูลนี้เป็นฐานข้อมูลใหญ่ ที่จะเอาไปใช้วิเคราะห์งบประมาณและวางแผนได้ เช่น พบว่าประชากรมีไขมันในเลือดสูง 48% แล้วก็จะทำให้รู้ว่าประชากร แต่ละเขต คนสุขภาพเป็นอย่างไร สามารถจะจัดสรรงบประมาณ จัดบุคลากรทางการแพทย์ลงไปดูแลสุขภาพแต่ละเขตได้

“เรายังใช้ Health Tech ในการติดต่อหมอที่โรงพยาบาล เชื่อมผ่านระบบ Telemed ซึ่งก็มีคนใช้งานไป 9 หมื่นกว่าครั้งแล้ว รวมถึงโรงพยาบาลส่งตัวไม่ต้องใช้ใบ (แบบกระดาษ) จากแพทย์แล้ว แต่สามารถส่งออนไลน์ได้ระหว่างศูนย์บริการสาธารณสุขกับโรงพยาบาลของกทม. มันช่วนลดระยะเวลาในการเดินทาง จากที่ต้องมาอย่างน้อย 2 ครั้ง จึงได้พบแพทย์ แต่ตอนนี้ใช้เวลา 15 นาที ด้วนระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการส่งข้อมูล” นายชัชชาติระบุ

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ตอนนี้เราก็เริ่มใช้ AI แล้ว โดยเริ่มจากการอบรมเจ้าหน้าที่ข้าราชการก่อน ซึ่งเราจะต้องเอามาใช้ในการบริหารราชการแน่นอน ซึ่งก็ได้มีคณะกรรมการในการขับเคลื่อนเอไอ มาเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของเราตั้งแต่ปีที่แล้ว

นายชัชชาติกล่าวอีกว่า สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ ‘คนรุ่นใหม่ คนมีพลัง คนมีประสบการณ์ ร่วมกันสร้างเมือง’ ตนเชื่อว่ามีคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ซึ่งคนเก่งอยู่นอกองก์กรกทม. เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะดึงคนเหล่านี้ มาร่วมพลังกับเรา เพื่อให้มาช่วยสร้างคำตอบให้กับเมือง ซึ่งตนคิดว่าผลงานของเราหลายอย่าง มาจากความช่วยเหลือของคนที่อยู่นอกองค์กร โดยจากคนเก่งหรือคนที่มีพลังอยากจะมาช่วย

“ยกตัวอย่าง เรื่องเว็บไซต์รับฟังความคิดเห็นแก้ไข พ.ร.บ.กรุงเทพฯ ก็มีนิสิตจุฬาฯ มาช่วยพัฒนาให้เลย ซึ่งคนชอบนะ มีคนเข้ามาให้ความเห็นกันหลักหมื่นคนเลย หรือ ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องบอร์ดเกม ก็เข้ามาช่วยสะท้อนปัญหาเมืองในนรูปแบบเกม ซึ่งเราก็ได้คนเก่งในแต่ละด้านมาช่วยกัน” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า กิจกรรมต่างๆของกทม. ที่เราเห็นกันมากมาย ไม่ได้มาจากข้าราชการเป็นหลัก แต่ได้ภาคีเครือขายมาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรีในสวน บางกอกไพรด์ บางกอกดีไซน์วีค กลุ่มนักแสดงต่างๆ หนังกลางแปลง ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้โดยมีเครือข่ายที่เขามาร่วมมือเร่วมใจกัน ซึ่งเป็นหัวใจของเมือง ของกรุงเทพ และของประเทศไทยเลย

“เรามีคนเก่งจำนวนมาก แต่จะทำอย่างไรให้เขาไว้ใจเรา แล้วให้เขามาทำงานร่วมกันเรา มาสร้างผลงานกับเรา ผมว่า 3 ปีที่ผ่านมา เราพิสูจน์แล้วว่า ทำได้ เรามีภาคีเครือข่ายที่แข็งแรง อันนี้ก็คืออีกหนึ่งส่วนที่ช่วนเราขับเคลื่อน” นายชัชชาติเผย

นายชัชชาติกล่าวว่า เรายังทำโครงการ Food Banks โดยเราอยากจะมีพื้นที่เหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ต ให้คนที่ลำบากมาช้อปปิ้งอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเราคิดโครงการมาตั้งแต่ตอนที่ตนเข้ามาเป็นผู้ว่าฯเลย แล้วก็ค่อยๆ ทำ จากความร่วมมือทุกภาคส่วน เราก็มีครบทั้ง 50 เขตแล้ว ซึ่งทุกเขต ก็จะมีพื้นที่ให้คนเปราะบาง มาช้อปปิ้งจากการให้เครดิตแต้มของเขา

“ที่ผ่านมาเราให้อาหารกับคนที่เขาต้องแล้ว 225,558 คน มีอาหารเกิน 4 ล้านมื้อที่ส่งต่อไปแล้ว ซึ่งสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 2.4 ล้าน กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งอันนี้ไม่ได้มาจากงบประมาณเลย แต่มาจากความร่วมมือของคนในสังคมที่ร่วมมือกัน กันเป็นจุดแข็งของเราเลยที่ช่วยกันอย่างนี้ในหลากหลายมิติ” นายชัชชาติระบุ

นายชัชชาติกล่าวว่า ตอนที่ตนเข้ามาเป็นผู้ว่าฯชช่วงแรกในเดือนมิถุนายน ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็มีการจัดไพรด์พาเรดเลย ซึ่งตอนนั้นมีคนมาเริ่ม 1 หมื่นคน ปีต่อมาก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 1 แสนคน จนล่าสุดมีคนมาร่วม 2 แสนคน และคิดว่าครั้งที่จะถึงนี้น่าจะมีคนมาร่วมราว 3 แสนคน

“มันทำให้เห็นความร่วมมือร่วมใจกัน และโอบกอดคนที่มีความหลากหลาย ผมว่าคนที่ไปเดินก็อาจจะไม่ได้เป็นกลุ่ม LGBTQ+ แต่เขาก็โอบกอดคนที่แตกต่างกันไว้ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่า มันเป็นการยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งเป็นลักษณะของพหุวัฒนธรรมในสังคมไทย” นายชัชชาติชี้

นายชัชชาติกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ‘สมรสเท่าเทียม’ ที่เราเปิดให้ทุกเขตจด ซึ่งก็ได้มีการต้อนรับที่ดี และยังมีเรื่องการจ้างงานผู้พิการมาทำงาน จนตอนนี้มี 415 ท่านแล้ว ตามเป้าหมายที่ตั้ง คือ 600 ท่านที่เราต้องจ้าง เพื่อให้เราเข้าใจคนที่มีความแตกต่างจากเรา เพราะประชากรส่วนหนึ่งที่เราต้องดูแล ก็คือ ผู้พิการ ซึ่งเราต้องดูแลคนเหล่านี้ทั้งหมด โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

จากนั้น นายชัชชาติกล่าวถึง ‘หัวใจของการทำงานกทม.’ ว่า ตอนแรกเราเริ่มด้วยแนวคิดเมืองน่าอยู่และพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่พอเริ่มไปแล้ว ตนคิดว่าไม่พอ ซึ่งส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหา คือ เรื่องประสิทธิภาพ (Productive)

“ผมคิดว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่ใช้ทรัพยากรอินพุตประมาณหนึ่ง แต่เอ้าท์พุตที่ได้อาจจะน้อยกว่าเมืองอื่น เช่น ติดอยู่บนท้องถนน เรื่องระเบียบ เรื่องคอรัปชั่น ทำให้อินพุตที่เข้าไป 100 แต่ได้เอ้าต์ออกมา 80 อย่างนี้ ซึ่งหากเราไม่เพิ่มประสิทธิภาพแบบนี้ โอกาสที่เราจะดึงนักลงทุนมาได้หรือทำให้เป็นเมืองที่แข่งขันกับคนอื่นได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ยาก” นายชัชชาติชี้

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า เรามีคีย์เวิร์ด 2 คำ หนึ่ง จะต้องมีเมืองที่มีคุณภาพชีวิต และ สอง ต้องเป็นเมืองที่มีประสิทธิภาพ แล้วหัวใจที่จะขับเคลื่อนตรงนี้ คือ ความไว้วางใจ (Trust) เพราะถ้าเราไม่มีความไว้วางใจตรงนี้ ก็ยากที่เราจะหาเครือข่าย

“ถามว่าเรายืนตรงนี้ได้ 3 ปี ทำไมมีภาคีเครือข่ายมาร่วมกับเรา ก็เพราะเขาไว้ใจเรา เขามั่นใจว่าเราทำจริง เขามาปลูกต้องไม้กับเรา 1 ล้าน 8 แสนต้น แพราะเขาไว้ใจว่าเราเอาจริง ถ้าเกิดเราไม่มีความไว้วางใจ ก็ยากที่เราจะไปต่อ

ตอนที่ผมมาเป็นผู้ว่าฯวันแรก ผมบอกเลยว่างบประมาณมันไม่ได้เป็นปัญหาเลย ปัญหาคือประชาชนไม่ไว้ใจเรา พอพูดถึงกทม. ประชาชนอาจจะส่ายหน้าว่า จะแก้ปัญหาให้เราจริงเหรอ ผมว่าที่ผ่านมา 3 ปี มันคือกระบวนการในการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งทางเราก็ฟังประชาชนมากขึ้น แล้วเขาก็ไว้ใจเราด้วย อันนี้คือพลังที่ใช้ขับเคลื่อนเลย” นายชัชชาติเผย

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า หลักการการทำงานมี 3 อย่าง คือ คิดดี ทำดี และความเข้าอกเข้าใจ โดยใช้ความรู้กับเทคโนโลยีร่วมด้วย ซึ่งเราต้องเอาคนเก่งมาร่วม แล้วพอคิดดีแล้ว ก็ต้องทำดีด้วย ทำให้โปร่งใส ทำให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และต้องมีความเข้าอกเข้าใจกัน

นอกจากนี้ นายชัชชาติกล่าวถึงโครงการที่จะผลักดันในอนาคตว่า  กทม. มีหลายโครงการที่จะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเดินหน้าด้วยความร่วมมือ อาทิ สนับสนุนรถเมล์เพื่อลดค่าครองชีพและส่งเสริมการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ Bangkok Public Square พื้นที่สร้างสรรค์เพื่อประชาชน (สนามกีฬา คอนเสิร์ต ศิลปะ อีเวนท์) แก้ไข พรบ.กรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ กทม. ทั้งในแง่ งาน เงิน คน Business Lab พื้นที่ให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีพื้นที่ขายของทั้งแบบ Online และ Onsite การเจรจาคืนรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้รัฐบาล ให้เป็น Single Owner หอศิลป์ฝั่งธนบุรี (อาคารสาธารณะคลองสาน)

แก้ไขปัญหาจราจรด้วยระบบสัญญาณไฟอัตโนมัติ และ ศูนย์ควบคุมข้อมูลกลาง เดินหน้าขยายบริการสาธารณสุข เช่น ก่อสร้างรพ. ภาษีเจริญ สายไหม ทุ่งครุ Personalize Education เน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการศึกษา การแยกขยะทั้งระบบ จากครัวเรือน ตอนเก็บขน และ ตอนกำจัด สวนสาธารณะใหม่และศูนย์กีฬาใกล้เมือง เช่น สวนบึงฝรั่ง ศูนย์นันทนาการร่มเกล้า การขยาย Low Emission Zone ให้ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ และห้องแล็ปตรวจต้นตอฝุ่น เป็นต้น