ผู้นำแรงงาน ชี้ กทม.ได้ค่าแรงเกิน 400 อยู่แล้ว แต่ไม่พอใช้ แนะ รบ.คุมค่าครองชีพ-ลดต้นทุน

ผู้นำแรงงาน ชี้ กทม.ได้ค่าแรงเกิน 400 อยู่แล้ว แต่ไม่พอใช้ แนะ รบ.คุมค่าครองชีพ-ลดต้นทุน

ความคืบหน้าหลังจากที่คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ได้มีการลงมติเสียง 2 ใน 3 ในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วนจังหวัดอื่นๆ กำหนดให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในกิจการโรงแรม และสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ทั่วประเทศ โดยมีผลตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไปนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่ 400 บาทให้เท่ากันทั่วประเทศคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากสถานการณ์และภาวะทางเศรษฐกิจ แต่ในพื้นที่กทม. ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 ค่าจ้างขั้นต่ำของลูกจ้างได้มากกว่า 400 บาทอยู่แล้ว ส่วนกิจการประเภทโรงแรม เช่น พนักงานบริการที่ได้ค่าบริการเซอร์วิสชาร์จหรือทิป ซึ่งเป็นหนึ่งในสวัสดิการของโรงแรมจะทำให้ได้อัตราค่าจ้างถึง 400 บาท ขณะที่ลูกจ้างในสถานบริการ ตามคลับหรือสถานบันเทิงในปัจจุบัน ส่วนมากก็ได้ค่าจ้างขั้นต่ำเกิน 400 บาทเช่นกัน

“การกำหนดค่าจ้าง 400 บาทในพื้นที่กทม. หรือกิจการโรงแรมและสถานบริการจะเป็นธงนำว่ามีการปรับขึ้นไปที่ 400 บาทแล้ว ซึ่งต่อไปจะเป็นการขยายไปในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ โดยใช้ตัวเลข 400 บาทเป็นจุดตั้งว่าจังหวัดไหนควรจะกำหนดค่าจ้างที่ 400 บาทบ้างหรือจะเป็นทั่วประเทศ” นายพนัส กล่าว

นายพนัส กล่าวอีกว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่ 400 บาทในพื้นที่กทม. ก็เป็นตัวเลขที่ลูกจ้างรับได้อยู่แล้ว ตามโรงอาหารอุตสาหกรรม ลูกจ้างแทบทุกรายได้เกินวันละ 400 บาท เนื่องจากสถานประกอบการจะแบ่งจ่ายเพิ่มเติมให้เป็นสวัสดิการ เช่น ค่าทำงานล่วงเวลา (OT) ค่าอาหาร ค่าเข้ากะ ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าที่พัก และอื่นๆ พอนำมารวมกันกับเงินเดือนแล้วอาจจะได้วันละประมาณ 600 บาท

ADVERTISMENT

นายพนัส กล่าวต่อว่า แน่นอนว่าการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทในกทม. ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพของลูกจ้าง ปัจจุบันนี้ค่าอาหารจานละ 70-80 บาท ค่าเดินทางในกทม.ก็แพงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่าคำว่า ‘พอ’ หรือ ‘ไม่พอ’ ขึ้นอยู่กับสถาณภาพและการบริหารของลูกจ้าง หรือลูกจ้างจะวางแผนการใช้ชีวิตอย่างไร การปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งเดียวไม่สามาถครอบคลุมกับลูกจ้างทุกคนได้

ด้านนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) กล่าวว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทไม่ได้เป็นตัวเลขที่พึงพอใจ อีกทั้งยังเป็นตัวเลขที่ล้าสมัย เพราะค่าครองชีพสูงเกินมามากแล้ว โดยทางสสรท.ได้มีข้อเสนอให้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 492 บาท แต่เมื่อทางรัฐบาลมีการประกาศออกมาว่าจะปรับค่าจ้างที่ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ตนจึงไม่ได้เชื่อมั่นว่าจะทำได้

“โดยปกติค่าจ้างของลูกจ้างในพื้นที่กทม. ก็เกินวันละ 400 บาทอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นค่าจ้าง 400 บาทก็อยู่ไม่ได้ในกทม. ที่ลูกจ้างจะต้องรับผิดชอบทั้งค่าไฟฟ้า ค่าบ้าน ค่าอินเตอร์เน็ตตลอดจนค่าครองชีพอื่นๆ ประกอบกับปัญหาสภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น การที่แก้เฉพาะจุดหรือเฉพาะที่ ไม่ได้ส่งผลก่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจระดับประเทศได้” นายสาวิทย์ กล่าว

นายสาวิทย์ กล่าวว่า ดังนั้น หากรัฐบาลทำให้คนมีรายได้และสร้างอาชีพ ก็จะทำให้กระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวและอย่างยั่งยืน เช่น ลดรายจ่ายของประชาชน ควบคุมราคาน้ำ ราคาไฟฟ้า หรือระบบสื่อสาร จะทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการลดลง เป็นผลให้มีต้นทุนเพียงพอต่อการจ้างงานเพิ่มขึ้น ลดการว่างงาน ลูกจ้างมีเงินซื้อของ รัฐเก็บภาษีนำไปหมุนเวียนเศรษฐกิจต่อไปได้

นายสาวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนการกำหนดค่าจ้าง 400 บาทในประเภทกิจการโรงแรมและสถานบริการทั่วประเทศนั้น มองว่า ในโรงแรมระดับใหญ่ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีการจ้างแรงงานที่มีศักยภาพ/ความรู้มา ซึ่งอาจจะต้องจ่ายค่าจ้างเกิน 400 บาท และลูกจ้างที่มีฝีมือคงไม่ทำงานในอัตราค่าจ้าง 400 บาท แต่สำหรับลูกจ้างชั่วคราวอาจถือว่าได้รับอานิสงส์สิ่งเหล่านี้ไป ส่วนเรื่องประเภทกิจการท่องเที่ยว ที่สถานการณ์การท่องเที่ยวในปัจจุบันซบเซาลง ไม่มีหลักประกันที่ว่าการกำหนดค่าจ้าง 400 บาทจะทำให้ลูกจ้างอยู่ได้ ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวที่เข้ามา ทำให้เกิดความนิยมการจ้างแรงงานชั่วคราวมากขึ้น ซึ่งอาจไม่ได้รับค่าจ้าง 400 บาทตามที่กล่าว

“สำหรับความคาดหวังในเรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ควรทำให้เป็นค่าจ้างแรกเข้า โดยให้สถานประกอบมีการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าจ้างให้ชัดเจน จะทำให้ลูกจ้างวางแผนและมองเห็นถึงอนาคตของตนเองได้ อีกทั้งควรปรับให้สอดคล้องสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพ” นายสาวิทย์ กล่าว