ก.แรงงานยันคนไทยในอิสราเอล-อิหร่าน ปลอดภัย ไม่มีขอกลับ เตรียมพร้อม ฉก. 16 จุด-แผนอพยพฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่กระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์ช่วยเหลือประสานงาน ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในรัฐอิสราเอล ครั้งที่ 3/2568 เพื่อติดตามความคืบหน้าสถานการณ์แรงงานไทยในอิสราเอล
นายบุญสงค์ เปิดเผยหลังการประชุมว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน กระทรวงแรงงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตามข้อสั่งการของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การดูแลให้แรงงานไทยที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยครบทุกคน 100% ซึ่งขณะนี้ แรงงานไทยทั้งในอิสราเอลและอิหร่านยังปลอดภัยดี ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด โดยกระทรวงแรงงานสามารถติดต่อกับแรงงานทุกคนได้ครบถ้วนเรียบร้อย และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันทีหากมีความจำเป็น
“ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่ในอิสราเอลประมาณ 39,500 คน แยกเป็น แรงงานถูกกฎหมาย 33,000 คน แรงงานผิดกฎหมาย 6,500 คน ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเกษตร 29,300 คน , ภาคก่อสร้าง 2,500 คน และภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อีก 1,200 คน โดยขณะนี้ได้ชะลอการจัดส่งแรงงาน เข้าไปทำงานเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว“ นายบุญสงค์ กล่าว
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวอีกว่า ส่วนในประเทศอิหร่าน มีคนไทยพำนักถาวรและชั่วคราวราว 250-300 คน โดยมีแรงงานไทยในระบบอยู่ 39 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเตหะรานและเมืองอิสฟาฮาน ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานแรงงานไทยได้รับผลกระทบหรืออยู่ในจุดอันตราย ส่วนมาตรการของกระทรวงแรงงาน เพื่อรองรับสถานการณ์และปกป้องความปลอดภัยของแรงงาน กระทรวงแรงงานได้ดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างเข้มข้น โดยในอิสราเอล ได้ประสานงานกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของอิสราเอล (PIBA) พร้อมจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ 16 จุด ทั่วประเทศ เพื่อรับแจ้งปัญหาและให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้า รวมถึงขอความร่วมมือจากนายจ้างในการจัดตั้งพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) และวางแผนอพยพฉุกเฉินหากสถานการณ์รุนแรง
นายบุญสงค์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงแรงงานยังได้ประกาศให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานแบบ Work from Home ใกล้ที่หลบภัย และเปิดสายด่วนหมายเลข 1506 เพื่อให้ญาติแรงงานไทยสามารถติดต่อสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง และในส่วนของอิหร่าน กระทรวงแรงงานได้ส่งคำเตือนอย่างเป็นทางการไปยังแรงงานไทย พร้อมประสานกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี และเปิดช่องทางสื่อสารผ่าน LINE, WhatsApp และ Facebook เพื่อให้แรงงานสามารถรายงานตัวรายบุคคลได้อย่างรวดเร็ว
“นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังได้จัดทำแผนปฏิบัติการเชิงรุกในกรณีฉุกเฉิน ประกอบด้วยการตรวจสอบพิกัดของแรงงานทุกคน การประเมินพื้นที่เสี่ยงตามข้อมูลล่าสุดจากสถานเอกอัครราชทูต การจัดพื้นที่ปลอดภัยร่วมกับนายจ้าง การฝึกอบรมแรงงานเพื่อเตรียมความพร้อม ด้านอุปกรณ์และเส้นทางหลบภัย การเปิดช่องทางประสานงานฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และการเตรียมแผนอพยพทั้งทางบกและทางอากาศ โดยเฉพาะเส้นทางรถยนต์เข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านเช่น จอร์แดน และการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อรองรับการอพยพทางอากาศหากมีความจำเป็น” นายบุญสงค์ กล่าว
นายบุญสงค์ กล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงานได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประสานงานติดตามสถานการณ์ความไม่สงบใน รัฐอิสราเอลและสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เพื่อดูแลความปลอดภัยของแรงงานไทยในพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด โดยมอบหมายให้ นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ดำเนินการในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ฯ โดยจากรายงานของอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังไม่พบรายงานคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในเหตุการณ์ล่าสุด แต่กระทรวงแรงงานได้วางมาตรการเชิงรุกเพื่อดูแลแรงงานไทยให้สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันที หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
“หนึ่งในมาตรการสำคัญ คือ การให้แรงงานไทยในอิสราเอลและอิหร่านติดตั้งแอปพลิเคชั่น “SMART TOEA” บนโทรศัพท์มือถือทั้งระบบ Android และ iOS พร้อมกด “อนุญาตให้เข้าถึงตำแหน่ง (Location)” เพื่อให้สามารถติดตามพิกัดของแรงงานได้แบบเรียลไทม์ (Real-time) ซึ่งจะ ช่วยให้ทีมช่วยเหลือสามารถให้การดูแลหรืออพยพได้ทันท่วงที่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน“ นายบุญสงค์ กล่าว
นายบุญสงค์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ยังไม่มีแรงงานไทยแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศไทย อย่างไรก็ดี โดยในวันนี้ จะมีแรงงานไทยจากบริษัท Chemo Aharon ในอิสราเอล เดินทางกลับ จำนวน 22 คน ที่เดินทางกลับมาเนื่องจากสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน โดยนายจ้างได้จัดหาตั๋วเครื่องบินไว้ให้แล้วเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยทางผู้บริหารของกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ด่านจะเข้าไปรับพร้อมให้กำลังใจ
“ณ บัดนี้ ไม่มีแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบหรือบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงแม้แต่รายเดียว ทั้งในอิสราเอลและอิหร่าน ทุกคนอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย และใกล้หลุมหลบภัย โดยแรงงานที่ไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะมีข้อมูลหรือเบอร์ติดต่อที่ทางกระทรวงแรงงานสามารถติดตามเพื่อประสานความช่วยเหลือได้ทุกราย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ายังไม่มีคนไทยแจ้งความประสงค์กลับ แต่หากมีการอพยพ ทางกระทรวงแรงงานได้วางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้แล้ว” นายบุญสงค์ กล่าว