อุทยานฯแจงคดีตัดไม้หอมห้วยขาแข้ง ระบุคนไทยชี้เป้า อธิบดียังมั่นใจ หญิงเหล็กวีรยาให้ทำงานต่อ

วันที่ 12 ตุลาคม 2560 ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายสมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานฯ จัดแถลงข่าวกรณีมีการบุกรุกพื้นที่ป่าห้วยขาแข้งกว่าหมื่นไร่ และการทำไม้กฤษณาในพื้นที่ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี

นายสมโภชน์กล่าวว่า จากภาพและข่าวที่ระบุว่าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้ถูกบุกรุกกว่า 1 หมื่นไร่นั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งกรมอุทยานฯได้ร่วมตรวจสอบกับกรมป่าไม้ พบว่าพื้นที่ดังกล่าเป็นพื้นที่ที่ถูกยึดคืนและอยู่ในขั้นตอนการปลูกป่า ซึ่งเริ่มดำเนินการปลูกป่ามาตั้งแต่ปี 2559 และได้ดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน และพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แต่เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้

นายสมโภชน์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการลักลอบตัดไม้และทำไม้กฤษณาในเขตพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เป็นเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มมอดไม้ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้ชุดลาดตระเวนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้เสียชีวิต 1 ราย และจับกุมได้ 3 ราย พร้อมไม้ของกลาง 75 ท่อน ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่ามีกลุ่มคนไทยเป็นผู้นำทางและชี้จุดในการเข้าพื้นที่เพื่อตัดไม้กฤษณา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีและสืบสวนหากลุ่มเครือข่ายต่อไป

Advertisement

โฆษกกรมอุทยานฯ กล่าวว่า สำหรับการป้องกันการลักลอบตัดไม้กฤษณาในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและพื้นที่ใกล้เคียง กรมอุทยานฯได้จัดชุดลาดตระเวนร่วมกับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และการหาข่าวเชิงลึก รวมทั้งการสร้างเครือข่ายกับชาวบ้านในพื้นที่เพื่อหากลุ่มผู้กระทำผิดทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งจากสถิติคดีไม้กฤษณาในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งตั้งแต่ปี 2551-2560 รวม 7 คดี จากสถิติดังกล่าวบ่งชี้ว่าทางเจ้าหน้าที่ได้มีการลาดตระเวนอย่างดีเยี่ยม

ด้านนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้เรียกตัว น.ส.วีรยา โอชะกุล หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมาสอบถามเรื่องการทำงานและปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ว่าเกิดอะไรขึ้น เบื้องต้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนการทำงานของ น.ส.วีรยานั้น ตนเห็นว่ามีความตั้งใจทำงานดี การอยู่ในที่สว่างแล้วต้องทำงานกับคนที่อยู่ในที่มืดนั้นย่อมเสียเปรียบเป็นธรรมดา ต่อจากนี้ต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมากขึ้น

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image