‘ลุงเลี้ยงพิราบ’ ลั่นปัญหานก สะท้อนสังคม เจ้าตัวรับมีเท่าเดิม 400 ตัว แย้งกินเป็นอาหาร (คลิป)

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ‘บ้านลุงนกพิราบ’ ซึ่งเป็นกระแสข่าวโด่งดังเมื่อปีที่ผ่านมา หลังได้รับร้องเรียนว่าสภาพบ้านลุงนกพิราบกลับมาเป็นสภาพเดิม เมื่อเดินทางไปถึงบ้านเลขที่ 13 ซอยอุดมสุข ถนนสุทธิสารวินิจฉัย เขตห้วยขวาง พบเจ้าของบ้าน คือ นายวีระศักดิ์ สุนทรจามร หรือ ‘ลุงปุ๋ย’ อายุ 61 ปี อาชีพเก็บของเก่า กำลังเก็บสิ่งของบริเวณหน้าบ้านก่อนขอเข้าไปพูดคุยกับลุงปุ๋ย สำหรับสภาพหน้าบ้านพบกองขยะ ซึ่งลุงปุ๋ยกองไว้ทับกันไว้หลายกองสำหรับขาย เศษอาหารที่ขอมาจากวัดเพื่อนำมาแบ่งให้สุนัขในละแวก และนกพิราบที่เคยให้อาหารมาเป็นเวลานาน แม้ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สำนักอนามัย และสำนักงานเขตห้วยขวาง กทม.จะระดมกำลังเจ้าหน้าที่มาเก็บกวาดขยะและสิ่งของเครื่องใช้ที่ไม่ใช้แล้ว รวมถึงทำความสะอาดบ้านแล้วก็ตาม บ้านของลุงปุ๋ยยังคงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งคนทำงานเดินผ่านไปมาต้องนำมือปิดปากปิดจมูก

นายวีระศักดิ์ เปิดเผยกับ “มติชน” ว่า ปีก่อนได้รับความสนใจจากสื่อและหน่วยงานรัฐ เมื่อก่อนถูกมองแบบหางตา เพราะ กทม.ฟ้องร้องตนร่วม 3-4 ครั้ง โดยที่ไม่เข้ามาพูดคุยโดยตรง

“ที่ผ่านมา กทม.ใช้อำนาจแบบพระเดชมาตลอด กระทั่งเริ่มมาใช้พระคุณ เข้ามาพูดคุยและเจรจาร่วมกันจนมีข้อตกลงร่วมกัน เป็นสิ่งที่ดีเพราะการปกครองแบบท้องถิ่นต้องเป็นไปในลักษณะนั้น ก็รู้สึกดีใจ ส่วนปีที่แล้ว ที่ กทม.มาช่วยจัดระเบียบบ้านนั้น เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลเขตก็มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนกพิราบ มาถามไถ่ถึงการเพิ่มจำนวนของนกพิราบ ผมได้แจ้งกลับไปว่า นกมีเท่าเดิม 300-400 ตัว เป็นกลุ่มเดิมที่เคยให้อาหารเป็นประจำ เพราะรู้ตัวดีว่าจะเลี้ยงไหวหรือไม่ ตอนนี้ยังคงให้อาหารนก เพราะถือว่าเป็นจารีตประเพณี อีกอย่างการจะหยุดกระทำได้นั้น ต้องมีคำพิพากษของศาลชี้ว่าไม่สามารถทำได้ ขณะที่เขตเพียงทำได้แค่การแจ้งเอาผิดฐานสร้างเหตุเดือดร้อนรำคาญให้แก่คนอื่น หมายความว่าตามกฎหมายไม่ได้ห้ามเลี้ยง แต่ห้ามเหม็นขี้นก ผมไม่ได้ปฎิเสธว่าไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ผมไม่เหม็น คนอื่นเหม็น เพราะคนชอบจะบอกว่าเฉยๆ ส่วนคนไม่ชอบก็จะบอกว่าเหม็น อีกอย่างมันก็ไม่มีเครื่องมือมาวัดได้ว่าระดับไหนเรียกว่าเหม็น เหมือนที่มีหน่วยวัดเสียงเป็นเดซิเบล” นายวีระศักดิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีข่าวเรื่องนกพิราบล้นเมืองและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาคือการกินเนื้อนกพิราบ นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับปัญหานกพิราบล้นเมือง ความจริงระบบนิเวศทางธรรมชาติจะมีการกำจัดปริมาณนกโดยธรรมชาติ ลักษณะศัตรูอาหารพวกกา แร้ง และเหยี่ยว แต่เนื่องจากตัวเมืองขยายขึ้นมาก มนุษย์ทำลายระบบนิเวศธรรมชาติ ทุกวันนี้เห็นนกก็จับก็ยิง มองว่าหากตัวเมืองมีการควบคุมอาคารสูงปัญหานกพิราบล้นเมืองจะไม่เกิด เพราะนกไม่มีอาหารให้กิน ส่วนที่อาศัยเดิมอาศัยอยู่ตามที่สูงและหน้าผาตามธรรมชาติ กลับต้องมากินอาหารที่ตนวางให้ ส่วนเหตุผลอีกอย่างคือสะท้อนพื้นที่สีเขียวในเมือง ไม่ใช่สวนหย่อมแต่ต้องเป็นสวนสาธารณะ เพราะแม้แต่ในเขตดินแดงและห้วยขวาง สวนสาธารณะที่เรียกว่า พาร์ค จริงๆ แทบไม่มี

Advertisement

“เริ่มให้อาหารนกมาตั้งแต่ปี 2538 ตอนลาออกจากข้าราชครู แต่ก็ให้มาก่อนนั้นมาร่วม 10 กว่าปีแล้ว ส่วนนิสัยที่คุ้นชินกับนกคือเป็นสัตว์ฝูง อยู่กันเป็นกลุ่ม มีจ่าฝูงบินเข้ามากินอาหาร แต่เลี้ยงยากกว่าหมาและแมว แต่สิ่งที่เห็นชัดคือ แม้แต่ข้าวบูดหรือขนมปังขึ้นรา นกพิราบยังกินเป็นอาหาร สะท้อนว่านกหิวมาก สังคมแล้งน้ำใจ ไม่มีอาหาร เป็นสัตว์น่าสงสาร เพราะถ้าไม่หิวคงไม่กิน ไม่ได้หมายความว่านกพิราบเป็นสัตว์สกปรกแต่หิวโหย” นายวีระศักดิ์ กล่าว

ส่วนแนวทางเสนอให้กินนกพิราบนั้น นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งและส่วนตัวกินมังสวิรัต เพราะนกพิราบในไทยมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งนกพิราบในไทยก็แตกต่างจากสายพันธุ์ต่างประเทศ ยืนยันว่านกพิราบนิสัยดี เลี้ยงง่าย เป็นสัตว์น่าสงสาร ถูกสังคมทำร้ายโดยการไม่มีพื้นที่ให้นกอยู่ แม้บางพื้นที่จะสร้างพื้นที่ให้นกอยู่ แต่กลับไม่อาหาร นกพิราบก็แย่เหมือนกัน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image