อ.โบราณคดี หยิบหลักฐานมอง LGBTQ+ ใน ‘แม่หยัว’ ชี้พระสนม ‘เล่นเพื่อน’ มีจริง
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ) เขตพระนคร กรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดเวทีแถลงข่าว ‘ค้นความหลากหลาย ไท-ไทย’ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ซึ่งก่อร่างมาเป็นประเทศไทย ตลอดจนลดอคติทางวัฒนธรรม อันเป็นสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งหลายประการในสังคมไทย
บรรยากาศเวลา 10.00 น. มีการเสวนา ‘ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และชาติพันธุ์ของผู้คนในดินแดนไทย’ ซึ่งเป็นการเปิดผลการวิจัยล่าสุด ได้แก่ การค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพันธุกรรมศาสตร์ทางโบราณคดี สอดคล้องสัมพันธ์กับการศึกษาวิจัยอื่นๆ ที่ดำเนินการโดยสาขาวิชาต่างๆ ของคณะ ซึ่งช่วยตอบคำถามทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของผู้คนบนดินแดนไทย สะท้อนว่า ไทยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก มีการอยู่ร่วมกันของผู้คนที่แตกต่าง ซึ่งหลอมรวมทางวิถีชีวิตมาร่วมกันอย่างยาวนาน
โดยนำเสนอมุมมองทั้ง 4 ด้านดังนี้ ด้านโบราณคดีโดย ศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช และอาจารย์ ดร.นฤพล หวังธงชัยเจริญ จากภาควิชาโบราณคดี, ด้านภาษาและจารึก โดย ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา ภาควิชาภาษาตะวันออก, ด้านมานุษยวิทยา โดย ผศ.ดร.ดำรงพล อินทร์จันทร์ ภาควิชามานุษยวิทยา, ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ โดย รศ.ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ดำเนินรายการโดย น.ส.วรรณศิริ ศิริวรรณ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวไทย (อสมท) อดีตศิษย์เก่า
ในตอนหนึ่ง รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าวว่า ถ้าเปรียบเทียบ ประวัติศาสตร์ศิลปะ ก็เหมือนกับเป็นทัพหนุน ที่มาสนับสนุนว่าการค้นพบทางโบราณคดี ภาษา ชาติพันธุ์ ว่าทำให้เกิดผลพวงต่อเนื่องอย่างไรบ้าง เช่น การสร้างสถูป เจดีย์ พระพุทธรูป ที่ช่วยยืนยันว่าของแบบนี้เกี่ยวข้องกับดินแดนภายนอก หรือเกิดจากภูมิปัญญาภายใน
“คนในดินแดนทั่วโลกสร้างศิลปะมาก่อนจะมีตัวอักษร นึกง่ายๆ อย่างภาพเขียนสี ที่ตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์ก็เจอ แต่ไม่รู้ว่าเขียนขึ้นเนื่องด้วยอะไร อาจจะสันนิษฐานว่าเขียนถึงพิธีกรรม การเลี้ยงผี และสอดคล้องกับภาษา อย่างบาลี-สันสกฤต ที่เข้ามาพร้อมๆ กันด้วย
ถ้าจะโยงความสัมพันธ์ ระหว่างศิลปกรรมยุคแรกเริ่มที่พบในดินแดนไทย กับข้อมูลทางโบราณคดี เราก็พบว่า คนในดินแดนไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีความเกี่ยวโยงกับตอนเหนือขึ้นไป หรือ ‘จีนตอนใต้’
จากภาพเขียนประวัติ ที่เขาจันทร์งาม จ.โคราช เหมือนภาพที่ผาลาย กวางสี ประเทศจีน แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงกันผ่าน DNA หรือเส้นทางการเคลื่อนที่ที่ทางภาคโบราณคดีได้ทำไว้จริง” รศ.ดร.ประภัสสร์ชี้
รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าวต่อว่า เราพยายามศึกษาคนโดยอ่านผ่านงานศิลปะ แต่เมื่อดูจากเนื้องานที่คนทำมันจะมีความแตกต่าง เช่น ทางที่สูง-ที่ลุ่ม มีความเชื่อต่างกัน แต่มันจะมีความเหมือนที่ร่วมกันอย่าง ‘ศาสนา’ ก่อนจะรับพุทธ หรือฮินดู จากอินเดีย สะท้อนความเชื่อเรื่องผีบรรพชน ที่มีลักษณะคล้าย หรือร่วมกัน ซึ่งมันยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ ดินแดนไทย เมื่อรับเอาวัฒนธรรมจากอินเดียเข้ามาเป็นแกน แต่ในภูมิภาคที่ต่างกัน เช่น ภาคกลาง ซึ่งเติบโตมาเป็นรัฐที่เรียกว่าทวารวดี ก็เป็นไปตามอินเดียอีกแบบหนึ่ง ในตอนใต้ที่เรียกว่า ‘ศรีวิชัย’ ก็รับมาจากอินเดียเหมือนกัน หน้าตาต่างออกไป แต่ยังคงมีแกนร่วมเหมือนกัน
รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าวว่า ในเรื่องพิธีกรรมความตาย ถ้ามองในแง่ศิลปะ เราถูกสอนให้แบ่งแยกรูปแบบ ว่าแบบนี้คือเขมร อินเดีย หรือทวารวดี เพื่อจะรู้อายุสมัยและกลุ่มวัฒนธรรม เมื่อมองในแง่ความตายแล้ว ศิลปะส่วนหนึ่งดินแดนไทย ก็เป็นศิลปะอันเนื่องความตาย เป็นอนุสรณ์คนตายอย่างหนึ่ง ดังนั้นการสร้างสถูป เจดีย์ มีตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์
ยกตั้งอย่าง เขาคลังนอก ที่ อ.ศรีเทพ เพิ่งได้รับมรดกโลกเมื่อปีที่แล้ว ก็มีลักษณะเป็นงานศิลปกรรมลูกผสม ไม่ได้เข้ามาเฉพาะอินเดียภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง แต่มีทั้งอินเดียเหนือและใต้มาผสมผสานกัน อยู่ในองค์เดียวกัน เท่ากับคนที่สร้างในไทยรูัจักคนทั้งอินเดียเหนือและใต้
เมื่อเข้าสู่ช่วง พ.ศ.1800 เป็นต้นมา หรือยุคกลางของยุโรป เรามีการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญจากกลุ่มคนที่พูดมอญ, เขมร มาเป็นคนที่พูดไทย และรัฐไทยเริ่มเกิดขึ้น มีการสร้างสถูป, เจดีย์มากมาย เป็นระยะเปลี่ยนผ่านอินเดียหมดความสำคัญไปแล้วในทางพุทธศาสนา เราก็หันเหไปรับเอาพุทธศาสนารูปแบบที่เจริญกว่า อย่าง ศรีลังกา, พม่า
อีกฝั่งหนึ่งอย่างกัมพูชา หรือเขมร ก็ยังมีบทบาทอยู่ เห็นได้จากศิลปะสุโขทัย ที่เจดีย์ เราจะมองส่วนต่างๆ อย่างแยกส่วน เช่น ‘ฐาน’ ที่ยกสูง อาจจะมาจากเขมร, ‘ยอด’ ทรงดอกบัวตูม อาจจะมาจากพม่า มันแสดงให้เห็นว่าข้างในดินแดนไทย เขารู้จักวัฒนธรรมจากดินแดนรอบข้างหมด และหยิบมาผสมผสานจนเป็นรูปแบบของตัวเอง
“งานศิลปะเกี่ยวกับความตายสะท้อนความลูกผสมในวัฒนธรรมไทย ถ้าเราเห็นจากการปลงศพในปัจจุบันของคนไทยมีลักษณะลูกผสม ทำไมเราถึงตั้งศพเอาไว้ 1 วัน เราตั้งไว้ให้ศพแปรสภาพ เป็นศพแห้ง ก่อนเอาไปเผา ซึ่งการเผามาจากอินเดีย แล้วเราเอาอัฐิไปบรรจุในภาชนะแล้วค่อยเอาไปฝังอีกที ปัจจุบันเราฝังตามกำแพงวัด แต่สมัยโบราณจะฝังตามพื้นดิน ดังนั้น ในเรื่องการปลงศพจะเห็นว่าเรารับวัฒนธรรมจากอินเดียมาผสมผสาน เป็นเรื่องเดียวกัน”
รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าวต่อว่า การลงลึกในแต่ละสาขาของโบราณคดีสะท้อนว่าองค์ความรู้ของเราค่อนข้างจะอยู่ตัวแล้ว ปัจจุบันทฤษฎีเริ่มชัดเจน ประเด็นต่างๆ ในประวัติศาสตร์ศิลปะ ทั้งในไทยและต่างประเทศเริ่มลงตัว สามารถชี้ได้ว่าอันนี้สุโขทัย หรือล้านนา สิ่งที่เราต้องการต่อไปคือ เอาไปพัฒนาต่อ เป็นต้นทุนด้านต่างๆ เช่น ส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคม ทำยังไงให้สังคมไทยที่มีความขัดแย้ง มีอคติบางอย่างทางวัฒนธรรมลดลงผ่านกระบวนการนี้
“เราต้องมา ‘สำรวม’ เอาชุดความรู้ทุกอย่างมารวมกัน เพื่อให้พูดได้อย่างรอบด้าน ผ่านการใช้ชุดความรู้ร่วมกัน คณะโบราณคดีต้องเอาทุกอย่างมาต่อ การมองแยก ทำให้เราบ่มอัตลักษณ์ได้ง่าย” รศ.ดร.ประภัสสร์เผย
จากนั้น รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าวถึงพระปรางค์ วัฒนธรรมเขมรโบราณ ที่เกิดความขัดแย้งกันในปัจจุบัน ในทางประวัติศาสตร์ศิลปะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในศิลปะไทยมันมีไวยากรณ์ของศิลปะเขมรโบราณอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่เรื่องของการสร้างเจดีย์ทรงปรางค์ให้เป็นพระมหาธาตุประจำวัดตั้งแต่สมัยอยุธยาลงมา
“หรือแม้แต่ในวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ ก็มีปรางค์ วัดอรุณฯ ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิวัฒนาการมาจากปราสาทแบบเขมร ดังนั้นในแง่การมองแบบแยกอัตลักษณ์จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าเรามาจากไหน อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องชุดวัฒนธรรมที่เรายอมรับมาใช้”
“ถ้าคนไทยปัจจุบันยอมรับว่าปรางค์วัดอรุณเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยได้ คุณก็ต้องไม่ปฏิเสธว่าส่วนหนึ่งมีรากฐานมาจากดินแดนที่อยู่รอบข้างเรา เช่น วัฒนธรรมขอม เขมรโบราณ เป็นความหลากหลายกลมกลืนที่เรายอมรับมันโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ” รศ.ดร.ประภัสสร์ระบุ
จากนั้น รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าวถึงละครแม่หยัว ที่กำลังเป็นกระแสในตอนนี้ด้วยว่า ในแง่ประวัติศาสตร์ศิลปะ เคสสำคัญที่สุดที่อาจจะเป็นหมุดหมายสำคัญในการนับ ‘เครือญาติฝ่ายหญิง’ คือ ‘สมัยอยุธยา’
“พูดแล้วอาจจะนึกถึง ‘แม่หยัว’ แต่เคสนี้เกิดก่อนแม่หยัว คือกรณีสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งตอนนั้นกษัตริย์ของอยุธยาจะมี 2 ราชวงศ์ คือสุพรรณภูมิกับอู่ทอง ในขณะเดียวกันราชวงศ์สุพรรณภูมิก็มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับราชวงศ์สุโขทัยอยู่ ซึ่งก็จะแต่งงานกันไปเรื่อยๆ
กษัตริย์ของอยุธยาตอนนั้นมีพ่อสายสุพรรณ แม่สายสุโขทัย พระบรมไตรโลกนาถก็ใช้โอกาสนี้ในการอ้างสิทธิที่จะขึ้นครองราชสมบัติในสุโขทัย โดยอ้างว่ามีเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง และรวบเอาหัวเมืองของสุโขทัยทั้งหมดมาเป็นของอโยธยาในตอนนั้น คือประมาณ พ.ศ.2000 หลังจากนั้นงานศิลปกรรมของอยุธยา ชุดความเชื่อทางฝ่ายบิดา คือการสร้างปรางค์, มหาธาตุ จึงถ่ายเทจากอยุธยาขึ้นไปทางเหนือด้วย
ตรงนี้เป็นหลักฐานสำคัญแสดงให้เห็นว่า การนับเครือญาติทางฝ่ายแม่มีบทบาทมากๆ เป็นประเพณีที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีผลในทางประวัติศาสตร์” รศ.ดร.ประภัสสร์ชี้
เมื่อถามต่อว่า LGBTQ+ ในแม่หยัว มีจริงหรือไม่?
รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าวว่า เรื่องการรักข้ามเพศ ข้อมูลในสมัยรัตนโกสินทร์มีคำที่เรียกลักษณะนี้การรักระหว่างหญิงกับหญิงภายในรั้ววัง เขาเรียกกันว่า ‘การเล่นเพื่อน’
“ระหว่างที่สนมนางในต้องรอที่จะเข้าไปถวายงาน ก็จะอยู่ในสังคมผู้หญิงล้วน จะมีกระบวนการเทิดทูนกัน รักกัน หรือบางทีมีเพศสัมพันธ์กัน อันนี้มีหลักฐานชัดเจนในทางเอกสารด้วย คือ เพลงยาวหม่อมเป็ดสวรรค์ ที่ท่านบอกชัดเจนว่า เล่นเพื่อนกันสนมนางใน
แสดงว่ากระบวนการตรงนี้ที่เป็นเรื่องของฝ่ายในมันมีจริง แต่ไม่แน่ใจว่าใน ‘แม่หยัว’ จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะไม่มีหลักฐาน ผู้สร้างอาจจะใส่เข้าไปเป็นสีสันให้น่าติดตาม รวมถึงกระแส LGBTQ+ นี้ใส่เข้าไปในซีรีส์ให้สอดคล้องกับการเล่นเพื่อน ที่ปรากฏในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์” รศ.ดร.ประภัสสร์กล่าว