สถาบันโพธิคยาฯ แถลงจัดประชุม SAMVAD ครั้งแรกในไทย 14-17 ก.พ. หวังนำแก่นธรรมะ เสนอทางแก้ปัญหาขัดแย้ง-สิ่งแวดล้อมยั่งยืน
เมื่อวันที่ 28 มกราคม ณ ห้องประชุมชั้น 7 บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด ตำบลบางเขน อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี องค์กร Vivekananda International Foundation India (VIF) ร่วมกับ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980, ศูนย์อินเดียศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, International Buddhist Confederation (BC), Japan Foundation-Japan (TBC) และมูลนิธิวีระภุชงค์ จัดงานแถลงข่าวการจัดงามประชุม SAMVAD ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “ศตวรรษแห่งเอเชียของธรรมะ -ธรรม”
โดยเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในระดับสากล และความยั่งยืนที่เกิดจากการพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สถาบันคลังปัญญา – Think Tank ชั้นน้ำของ “อินเดีย” และ “ไทย”
เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า คณะผู้บริหารสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 และหน่วยงานพันธมิตร นำโดย ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980, Shri Gurumurthy Chairman of Vivekananda International Foundation (VIF), นายนาเกช ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย, พระเมธีวรญาณ ประธานกรรมการบริหารสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 และคณะบดีคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมแถลงความสำคัญการประชุม SANIVAD ครั้งที่ 4 ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในประเทศไทย
พร้อมด้วย ดร.วินัย วีระภุชงค์ ประธานมูลนิธิวีระภุชงค์, นายเกษม มูลจันทร์ รองเลขาธิการสถาบันโพธิคยาฯ และดร.อภัย จันทนะจุลกะ รองประธานสถาบันโพธิคยาฯ เข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าวครั้งนี้
ต่อมาเวลา 13.40 น. ดร.วินัย ประธานมูลนิธิวีระภุชงค์ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย โดยมี พระเมธีวรญาณ ประธานกรรมการบริหารสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 นำบูชาพระรัตนตรัย
จากนั้นเวลา 13.45 น. ผู้เข้าร่วมพิธีแถลงข่าวร่วมรับชมวิดีทัศน์การประชุม SAMVAD ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการจัดประชุม ที่นำเอาหลักการทางปรัชญา และหลักการทางจิตวิญญาณของเอเชียโบราณจากศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ มาใช้แก้ปัญหาความขัดแย้ง และสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม มาจนถึงเป้าหมายในการประชุมครั้ง 4 ที่กำลังจะจัดขึ้นนี้

ดร.สุภชัย เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980 กล่าวว่า การทำงานร่วมกับสถาบันคลังของอินเดีย โดยเฉพาะ VIF เกิดขึ้นระหว่างงาน ธรรมยาตราครั้งที่ 4 ลุ่มนำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ.แดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย
“การประกาศศตวรรษแห่งธรรม ได้รับฉันทานุมัติจากรัฐบาลอินเดีย และ สถาบันคลังปัญญาหลายแห่ง โดยศตวรรษแห่งธรรม มิได้จำกัดอยู่เพียง หลักธรรรมของพุทธศาสนาเท่านั้น แต่หมายถึง หลักธรรมของทุกศาสนาในโลก ซึ่งต่างก็มีหลักธรรมร่วมกัน โดยเฉพาะ หลักมนุษยธธรรม ส่งเสริมการสร้างสันติภาพ การแก้ไขวิกฤติร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ทั้งด้านการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำโลกในศตวรรษใหม่ไปสู่ความ ปรองดอง สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” ดร.สุภชัยระบุ
ดร.สุภชัยกล่าวอีกว่า ความฝันของพวกเราชาวสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980 และทาง Think Tank อินเดีย ที่เห็นพ้องต้องกันว่า เราอยากจะเห็นแผ่นดินนี้กลับมาเป็นเหมือนอดีตที่เรียกว่า อินโดจีน จากทั้งความเชื่อ ปรัชญา วัฒนธรรมและศาสนา มาจากอินเดียและเราก็เป็นสายเลือดของการค้ามาจากจีนด้วย
“การจัดงานครั้งนี้ถือว่าเป็นความร่วมมือด้วยจิตที่บริสุทธิ์ของพวกเราชาวโพธิคยา และจิตที่บริสุทธิ์ของผู้บริหาร VIF โดยที่ไม่มีการเมืองแอบแฝง ที่อยากจะเห็นหลักธรรมเผยแผ่เหมือนการต่อเทียนออกไปให้สว่างไสวทั่วดินแดนลุ่มน้ำโขง ลุ่มมหานทีคงคา รวมถึงลุ่มน้ำอื่นๆในอนาคต เช่น ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ฮวงโห ซึ่งก็เป็นดินแดนประเทศจีน เกาหลี ไต้หวัน รวมถึงเปอร์เซีย ยุโรป และอเมริกาต่อไป เพราะทุกอย่างที่ทำวันนี้ ลึกๆแล้วมันอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ ทุกนาม ทุกชาติ ทุกศาสนา นั่นคือ มนุษยธรรม” ดร.สุภชัยกล่าว

ด้าน นายนาเกช ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวว่า การทำงานของ Vivekanada International Foundation(VIF) ในฐานะ Think Tank หรือ สถาบันคลังปัญญาระดับแนวหน้าของอินเดีย มีการกิจและบทบาทสำคัญ คือการวิจัยและนโยบายสนับสนุนรัฐบาลอินเดียในด้านความมั่นคงระดับชาติ การจัดเสวนา การจัดประชุมเกี่ยวกับประเด็นสำคัญทางยุทธทธศาสตร์ และการแพร่ความรู้ด้านการป้องกันประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“VIF ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะ สถาบันคลังปัญญาของอินเดียโดยมีการเชื่อมโยงกับ ผู้นำ นักวิชาการ และนักคิดเชิงยุทธศาสตร์ทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ” นายนาเกชชี้
นายนาเกชกล่าวอีกว่า หลักธรรมะสำหรับเรานั้น ไม่ได้ไม่ได้ขึ้นตรงกับเพียงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นวิธีทางในการอยู่ร่วมกันของมนุยษชาติและการปฏิบัติต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมนุษยชาติ กับ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมันเกี่ยวกับการที่เราจะอยู่กับสัตว์โลกกันอย่างสันติสุขได้อย่างไร บนโลกใบนี้ด้วย
“เวทีนี้จะเป็นการพูดคุยและรับฟังซึ่งกันและกัน และทำให้โลกนี้มันดีขึ้น โดยเฉพาะการที่จะจัดการประชุม SAMVAD ครั้งนี้ที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีพื้นที่ในการรับฟังซึ่งกันและกันอย่างสงบสุข มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา รวมถึงการสร้างความยั่งยืนที่จะเกิดขึ้นจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9
ผมคิดว่า ตอนนี้มนุษยชาติกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพอากาศแปรปรวน โลกร้อน หรือ ความขัดแย้งด้าน Geo-Politics ก็จะถูกหยิบยกมาเป็นท็อปปิกรับฟังและแลกเปลี่ยนกันในการประชุม SAMVAD ครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางให้มนุษยชาติก้าวต่อไป” นายนาเกชเผย

จากนั้น พระเมธีวรญาณ ประธานกรรมการบริหารสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะมีหลากหลายประเทศ ทั้งที่นับถือพุทธศาสนา และไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาเข้าร่วมประชุม ฉะนั้นการประชุม SAMVAD ถือว่าเป็นคำที่มีความหมายในเชิงของการสร้างสรรค์บนเวทีเพื่อการพูดคุย
“เอกอัครราชทูตอินเดียก็ย้ำอยู่เสมอว่า SAMVAD ก็คือ ไดอาล็อก หรือ การพูดคุยกัน โดยเฉพาะหลักของพระพุทธศาสนา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า ความเป็นมงคล หรือ การแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง จะต้องมีเวทีของการพูดคุย และต้องเป็นการพูดคุยสัตบุรุษ ผู้รู้ นักปราขญ์ ผู้ที่มีความเข้าใจ และผู้ที่อยากจะแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง แบบปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ซึ่งเป็นการพูดคุยในลักษณะของบัณฑิต เป็นมงคลอันสูงสุด” พระเมธีวรญาณระบุ
พระเมธีวรญาณ กล่าวตอ่ว่า โดยเฉพาะการจัดตั้งขึ้นของการประชุม SAMVAD พอแปลออกมาเป็นภาษาไทย ถือว่าเป็นคำที่ดีมาก เพราะต้องการแก้คำว่า วิวาทะ เป็นคำว่า สัมวาทะ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลก ในสังคมวงกว้าง สังคมวงแคบ หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นข้างในตัวเรา เช่น บางทีใจเราก็อยากจะทำอย่างหนึ่ง แต่ความต้องการทางร่างกาย หรือ ความจำเป็นทางร่างกาย บีบบังคับให้เราต้องทำอีกอย่างหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นความขัดแย้งเช่นเดียวกัน
“ปัญหาเหล่านี้จะยังคงมีอยู่ตลอดไป เพราะความทุกข์นั้น คือ ปัญหา เป็นสารตั้งต้นของความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว แต่เรามีหน้าที่มาแก้ไขปัญหา และวิธีการในการแก้ปัญหาเราจะใช้วิธีการแก้ปัญหา ที่หลายหน่วยงาน หลายองค์กร ทั้งรัฐบาล เอกชน และคนทั่วไป ก็ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหามามากมายหลายวิธี
เราก็เห็นว่าวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ไม่มีทางยั่งยืนหรือเป็นไปได้ยาก ถ้าตราบใดเรายังไม่นำเอาธรรมะมาใช้กันอย่างแท้จริง ฉะนั้นเวที SAMVAD จึงถือว่าเป็นเวทีที่จะทำให้คนทั้งหลายได้ ตระหนักถึงความสำคัญของหลักในพระพุทธศาสนา” พระเมธีวรญาณเผย
พระเมธีวรญาณ กล่าวอีกว่า ตามจริงแล้วเราจะไม่อยากจะเน้นย้ำในหลักพุทธศาสนาอย่างเดียว ด้วยว่าเพื่อนพี่น้องในโลกนี้ก็มีหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ที่มีหลากหลายความเชื่อทางวัฒนธรรมและประเพณี แต่เราพูดถึงธรรมะ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้นิยามความหมายของธรรมะไว้มากมายหลายประการ เพื่อนำไปใช้ให้มากมายและหลากหลายบริบท โดยเฉพาะการมีความหมายที่หลากหลายเหมาะกับการนำไปใช้อย่างเป็นวงกว้าง
“ไม่ว่าศาสนาหรือลัทธิใด ความเชื่อจะตีความธรรมะอย่างไรก็ตาม แต่ท้ายที่สุดก็จะเชื่อมโยงถึงความหมายที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นเจ้าของความหมายของคำว่า ธรรมะ แต่ต้องการให้คำว่า ธรรมะ มีความสากลเหมาะกับคนทุกคนในโลกใบนี้ สามารถที่จะเอาไปใช้ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจว่าเป็นของศาสนาใด แต่มันคือสมบัติของมนุษยชาติ
ดังนั้น ถ้าเราพูดถึงการประชุม SAMVAD พูดง่ายๆ คือ การคบหากับสัตบุรุษ ที่มีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา การรับฟังซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการประชุม แม้ว่าชื่อจะบอกว่า การประชุม การแสดงความคิดเห็น หรือการอภิปรายก็ตามที แต่การประชุม SAMVAD ก็คือการฟังให้มาก ฟังให้ลึก ฟังให้ถึง และฟังให้เข้าใจ เพราะถ้าเราฟังกันมากๆแล้ว ก็จะตกผลึกความคิดว่า ปัญหาที่แท้จริงคืออะไร แล้วสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี” พระเมธีวรญาณกล่าว
ทั้งนี้ งานประชุม SAMVAD มีกำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 14 – 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 โดยการจัดงานวันแรกจะจัดขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ชั้น G อาคารสหประชาชาติ กรุงเทพฯ
งานประชุมวันที่ 2 จะจัดขึ้นในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และงานวันประชุมวันที่ 3 จะจัดขึ้นในวันที่ 16 – 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จ.กระบี่ ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งอารยธรรมศักดิ์สิทธิ์ดินแดนแห่งนาคา และการแลกเปลี่ยนวัฒธรรมยุคโบราณระหว่างอินเดียใต้ สุวรรณภูมิ จีน ไกลออกไปถึง กรีก – โรมันยุคโบราณ เป็นต้น